ธุรกิจการตลาด

BYD ยอดขาย Q1/66 พุ่ง 80% เทสลาหั่นราคาแข่ง หวังชิงส่วนแบ่งการตลาด

24 เม.ย. 66
BYD ยอดขาย Q1/66 พุ่ง 80% เทสลาหั่นราคาแข่ง  หวังชิงส่วนแบ่งการตลาด

สงครามการค้าของรถยนต์ไฟฟ้ายังแข่งขันกันอย่างรุนแรง นักวิเคราะห์เชื่อว่า แนวโน้มของราคารถยนต์ไฟฟ้าจะปรับลดลงอีกอย่างแน่นอน

โดยทางด้าน BYD  หวัง ชวนฟู (Chuanfu) ประธานกรรมการของ BYD ออกมากล่าวว่า “ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ จะพุ่งขึ้นถึง 80% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และบรรดาคู่แข่งที่อ่อนแอจะ “ถูกกำจัด” ออกจากตลาด หลังจากที่ทางกลุ่มบริษัทรายงานผลกำไรสุทธิที่ทะยานขึ้นมากกว่า 400% ในปี 2565 เป็น 16.6 พันล้านหยวน (2.4 พันล้านดอลลาร์)”

ทั้งนี้ เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ปีนี้ ส่วนแบ่งตลาดของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอิน-ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าของ BYD ในตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 40% จาก 34% ในปีที่แล้ว ขณะที่ยอดขายของเทสลานั้นลดลงเล็กน้อยเหลือ 7.8%

ลี เทาเทา (Li Taotao) นักวิจัยสาขาวิศวกรรมวัย 26 ปีที่ขอใช้นามสมมติ ได้ซื้อรถยนต์ BYD Qin Plus DM-i ซึ่งเป็นรถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริดในราคาเพียง 99,800 หยวนในเดือนกุมภาพันธ์ 

“ รถยนต์ต่างประเทศนั้นมีราคาแพงเมื่อเปรียบเทียบกัน ดังนั้น ถ้ารถยนต์ในประเทศมีคุณภาพดี ทำไมเราจะไม่เลือกล่ะ” เธอกล่าว

อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของ BYD ที่แข็งแกร่ง และโครงสร้างที่ผนวกรวมในแนวดิ่งของกลุ่มบริษัท (จากเหมืองแร่มาจนถึงแบตเตอรี่และชิป) ทำให้ BYD มีข้อได้เปรียบเนื่องจากอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกกำลังดำเนินการเพื่อเปลี่ยนจากเครื่องยนต์สันดาปไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า

BYD ขายดีอันดับ 1 ในประเทศไทย 


ข้อมูลจากการจดทะเบียนประกันภัยล่าสุด ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2566 พบว่า ประเทศไทยมีการจดทะเบียนรถไฟฟ้าใหม่ 14,777 คัน และบีวายดีส่งมอบรถ 5,579 คัน คิดเป็น 37.8% ทำให้ BYD ขึ้นแท่นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยจากยอดขายเกือบทั้งหมดป็นรุ่น ATTO 3 ซึ่งเป็นรถ SUV ไฟฟ้าที่สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

BYD

Tesla หั่นราคาลง หวังชิงส่วนแบ่งเพิ่ม

ด้าน Tesla ในจีนมีความเคลื่อนไหในการหั่นราคารถยนต์ในจีนอีกครั้ง เมื่อบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของอีลอน มัสก์ (Elon Musk)  สูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับ BYD ที่สนับสนุนโดยวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนมียอดจำหน่ายรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งต่างประเทศเป็นครั้งแรกในปี 2566

ในปี 2565 Tesla ได้ลดราคารถยนต์ลงเพื่อเรียกคืนส่วนแบ่งตลาดในจีนที่มีการแข่งขันสูง และเป็นการจุดประกายให้เกิดสงครามราคาในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดที่เป็นที่สนใจของบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ของยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ บรรดาผู้บริโภคชาวจีนได้หันมาสนใจรถยนต์ของ BYD ที่ใหม่กว่าและมีราคาถูกกว่า โดยในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้ กลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในเซินเจิ้นมียอดจำหน่ายสูงกว่าเทสลาถึง 5 เท่าในตลาดจีน

 บิล รัสโซ่ (Bill Russo) ผู้ก่อตั้ง Automobility บริษัทที่ปรึกษาในเซี่ยงไฮ้และอดีตหัวหน้า Chrysler ในจีน กล่าวว่า การตัดสินใจของผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกาในการลดราคาลงในเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นทางเลือกที่ “อันตราย” จะเป็นกระตุ้นให้ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมพากันทำตาม

 “เห็นได้ชัดว่าแบรนด์รถยนต์ต่างประเทศกำลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาด เราจึงคาดว่าปี 2566 จะเป็นปีแรกที่แบรนด์รถยนต์ของจีนแซงหน้าแบรนด์ต่างประเทศในแง่ของยอดขาย” รัสโซ่กล่าว ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Automobility ปีที่แล้ว บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ของจีนมีส่วนแบ่งตลาดรถยนต์นั่งรวมทั้งสิ้นประมาณ 47%

ทั้งนี้ การตัดราคาของเทสลาและสงครามราคาที่จะเกิดขึ้นตามมาในบรรดาบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำส่วนใหญ่ในจีน คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดียวกันกับที่ปักกิ่งได้ลดเงินอุดหนุนจำนวนมากลง หลังจากที่ได้ใช้จ่ายเงินมากกว่า 120 พันล้านดอลลาร์มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2552 เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้

สัญญาณตลาดรถไฟฟ้าในจีนเริ่มชะลอลง 

จีนเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และยอดขายรถยนต์โดยทั่วไปลดลง เนื่องจากจีนเพิ่งฟื้นจากการดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเข้มงวด ซึ่งได้ชะลออัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ ประเทศจีน (China Association of Automobile Manufacturers) ได้ออกโรงเตือนว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจนี้กำลังเผชิญกับจำนวนสินค้าคงคลังที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากและแรงกดดันด้านการดำเนินงาน โดยมียอดขายดิ่งลงในช่วงเดือนที่ผ่านมา

โดยก่อนหน้านี้ บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ของต่างประเทศเคยประกาศว่า จีนเป็นตลาดหนึ่งที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเนื่องจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าชะลอตัวลง

ในช่วงสองเดือนแรกของปี 2566 ยอดขายรถยนต์นั่งของบริษัทจีนอ่อนตัวลงประมาณ 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว กลุ่มบริษัทรถยนต์ของเยอรมันลดลง 21% บริษัทรถยนต์ของญี่ปุ่นลดลง 40% ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเกาหลีลดลง 25% และผู้ผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ ลดลง 13%

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT