ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หลายบริษัทของสหรัฐฯ รวมไปถึง 5 บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ในกลุ่ม “เจ็ดนางฟ้า” (Magnificent Seven) ได้แก่ Alphabet, Apple, Amazon, Microsoft และ Meta ได้ออกมาเผยผลประกอบการสำหรับไตรมาสที่ผ่านมา รวมไปถึงผลประกอบการของทั้งปี 2023 สำหรับบริษัทที่เพิ่งจบไตรมาสที่ 4 ในปีงบประมาณที่ผ่านมา
ผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีใหญ่เหล่านี้เป็นที่จับตามองของนักลงทุนเพราะในช่วงปี 2023 ที่ผ่านมา มูลค่าหุ้นของบริษัทเหล่านี้เติบโตได้อย่างดีเยี่ยมแม้จะต้องเจอภาวะดอกเบี้ยที่สูง เพราะมีผลประกอบการที่ดี และมั่นคง รวมไปถึงมีศักยภาพในการเติบโตจากการเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ทำให้ผลประกอบการที่ออกมาจะเป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มการเติบโตของบริษัทเหล่านี้ในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลต่อมูลค่าหุ้นที่ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่น
ในภาพรวม ทั้ง 5 บริษัททำรายได้และกำไรได้ดี โดยเฉพาะ Amazon, Meta และ Microsoft ที่ทำรายได้และกำไรเกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ ขณะที่ Alphabet ทำรายได้จากโฆษณาค่อนข้างน่าผิดหวัง และ Apple พบยอดขายของ iPhone ในจีน ซึ่งเป็นตลาดสำคัญ ลดลงอย่างต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา และการกลับมาของคู่แข่งสำคัญอย่าง Huawei
ในบทความนี้ ทีม SPOTLIGHT จึงอยากชวนทุกคนไปส่องผลประกอบการของทั้ง 5 บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กันว่าเป็นอย่างไร รายได้และกำไรเพิ่มขึ้นจากธุรกิจส่วนใด และในอนาคตมีการคาดการณ์และแนวโน้มไปในทิศทางใดบ้าง
ในวันที่ 1 ก.พ. Amazon บริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลก เผยผลประกอบการสำหรับไตรมาสที่ 4 และปี 2023 พบทั้งรายได้และกำไรในไตรมาสที่ 4 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดเพราะมีการซื้อขายมากในช่วงปลายปี และมีรายได้จากบริการ Amazon Web Services หรือบริษัทคลาวด์สำหรับธุรกิจและองค์กรต่างๆ มากขึ้น
จากรายงานผลประกอบการ Amazon ในไตรมาสที่ 4 บริษัททำรายได้ทั้งหมด 1.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และเกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 1.66 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้นเป็น 1.06 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเพียง 278 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
การเติบโตของทั้งรายได้และกำไรเป็นอานิสงค์ของช่วงฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยปลายปีของชาวอเมริกัน รวมไปถึงอีเวนต์ Amazon’s October Prime Day ในเดือนตุลาคมที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทมากเกินคาด และธุรกิจ Cloud Computing ซึ่งเป็นบริการระบบบริการธุรกิจและการค้าที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นถึง 13% ในไตรมาสที่ผ่านมา
นอกจากนี้ Amazon ยังทำรายได้โฆษณาได้ดีจากการเพิ่มแพลนมีโฆษณาใน Amazon Prime โดยในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมา Amazon ทำรายได้จากโฆษณาได้ถึง 1.47 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
สำหรับผลประกอบการทั้งปี Amazon ทำรายได้ไปทั้งหมด 5.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำกำไรไปทั้งหมด 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการพลิกกลับมาทำกำไรหลังจากขาดทุนไป 2.72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ รวมไปถึงการเลย์ออฟพนักงานถึงประมาณ 27,000 คนในช่วงปลายปี 2022-2023 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการลดต้นทุนของบริษัท
สำหรับในไตรมาสปัจจุบัน Amazon คาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถทำรายได้ได้ถึง 1.38 - 1.43 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 8-13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 1.42 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ถัดจาก Amazon อีกหนึ่งบริษัทที่ทำผลงานดีไม่แพ้กันคือ Microsoft ที่สามารถทำทั้งรายได้และกำไรทะลุเป้าของนักวิเคราะห์จากการเติบโตของธุรกิจคลาวด์ และธุรกิจ AI ที่ Microsoft และบริษัทลูกคือ OpenAI เป็นผู้นำอุตสาหกรรมอยู่ในขณะนี้
จากรายงานของบริษัท ในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2024 (ต.ค.-ธ.ค. 2023) Microsoft ทำรายได้ไปได้ทั้งหมด 6.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 5.27 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้า และชนะการคาดการณ์ของนักลงทุนซึ่งอยู่ที่ 6.11 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่กำไรอยู่ที่ 2.19 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 1.64 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้า
การเติบโตนี้เป็นผลมาจากการขยายตัวของธุรกิจคลาวด์ เช่น Azure ที่ทำรายได้เพิ่มขึ้น 28% ในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 27% ขณะที่ธุรกิจซอฟต์แวร์และฮารด์แวร์สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนตัว เช่น Xbox และ Windows เพิ่มขึ้น 19% ไปอยู่ที่ 1.69 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อยที่ 1.68 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในวันศุกร์ที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ Meta เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% หลังบริษัทออกมาประกาศผลประกอบการของไตรมาสที่ 4 แล้วพบว่ารายได้เพิ่มขึ้นถึง 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ไปอยู่ที่ 4.01 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าไปอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเพียง 4.65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้า
การเติบโตของผลประกอบการนี้ทำให้ Meta สามารถจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสให้กับนักลงทุนได้เป็นครั้งแรกที่ 50 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งจะเริ่มจ่ายในวันที่ 26 มีนาคมที่กำลังจะถึงนี้
ในสายตาของนักลงทุน การเติบโตนี้ถือเป็นการเคลื่อนไหวก้าวใหญ่ของ Meta ที่แสดงให้เห็นว่า Meta พร้อมแล้วที่จะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ทั้งในธุรกิจโซเชียลมีเดีย และอื่นๆ หลังจากประสบปัญหามาก่อนหน้านี้ทั้งจากการที่จำนวนผู้ใช้แพลตฟอร์มเติบโตลดลง และธุรกิจ Reslity Labs หรือ Metaverse ที่ยังคงไม่สร้างกำไร และทำให้บริษัทขาดทุน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ในช่วงที่ผ่านมา Meta ได้พยายามเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา ด้วยการปรับโครงสร้างบริษัทให้ ‘ลีน’ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งด้วยการเลย์ออฟพนักงานกว่า 20,000 คน และการหันไปลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตมากขึ้น เช่น AI ด้วยการลงทุนในการพัฒนาโมเดลภาษา LLaMA ที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ GPT-4 ของ OpenAI
ทั้งนี้ ในขณะที่ทั้ง 3 บริษัทก่อนหน้าทำผลงานไว้ค่อนข้างดี ผลประกอบการของ Alphabet และ Apple กลับออกมาไม่ค่อยดีนัก เพราะมีการเติบโตและรายได้ในบางธุรกิจไม่ถึงที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ รวมไปถึงมีแนวโน้มทางธุรกิจที่ไม่ค่อยดีเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่เติบโตได้รวดเร็วกว่า
ในไตรมาสที่ผ่านมา Alphabet บริษัทแม่ของ Google ทำรายได้ได้ทั้งหมด 8.63 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 8.53 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่หุ้นของ Alphabet กลับลดลง เพราะรายได้จากการโฆษณาพลาดเป้าที่นักลงทุนวางไว้ที่ 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ Alphabet ทำไปได้ 6.55 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในการประกาศผลประกอบการของ Alphabet ทุกครั้ง รายได้โฆษณาถือเป็นไฮไลท์สำคัญเพราะเป็นรายได้หลักของบริษัท และไม่เคยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ การที่รายได้โฆษณาพลาดเป้าจึงเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก และสะท้อนว่า Alphabet ไม่สามารถเติบโตเท่าทั้ง Facebook และ TikTok ที่รายได้จากโฆษณายังเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของ Apple แม้จะสามารถกลับมาเติบโตได้ในไตรมาสที่ผ่านมา จากรายได้ใน App Stores และบริการอื่นๆ อนาคตของ Apple ก็ดูไม่สดใสนัก โดยเฉพาะในตลาดสมาร์ทโฟน จากการที่ยอดขายในจีนลดลง พร้อมการกลับมาของคู่แข่งสำคัญอย่าง Huawei รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Vision Pro ที่ยังไม่แน่นอนว่าจะได้รับการตอบรับอย่างไรจากผู้บริโภค
จากรายงานของบริษัท ในไตรมาสที่ผ่านมา ยอดขาย iPhone ในจีนลดลงถึง 13% จากไตรมาสก่อนหน้าไปอยู่ที่ 2.08 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง และเลือกกลับไปซื้อสมาร์ทโฟนที่มีสมรรถภาพคล้ายกัน แต่มีราคาถูกมากกว่าจาก Oppo และ Xiaomi รวมไปถึง Huawei ที่กลับมาพร้อมกับ Mate 60
สำหรับผลประกอบการทั้งไตรมาส Apple ทำรายได้ไปได้ทั้งหมด 1.19 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นรายได้จากการขาย iPhone ทั้งหมด 6.97 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ