Tesla ประกาศลดราคาครั้งใหญ่ในจีนและเยอรมนี หลังจากที่ได้ลดราคาในสหรัฐฯ ไปก่อนหน้านี้ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รายใหญ่ที่สุดของโลกกำลังเผชิญกับยอดขายที่ลดลงและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในตลาดหลักๆ
Tesla ประกาศลดราคาครั้งใหญ่ เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดหลังยอดลดลง
เมื่อวันอาทิตย์ Tesla ลดราคาเริ่มต้นของรถยนต์สี่รุ่นที่ขายในจีนแผ่นดินใหญ่ ตลาดต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของ Tesla ลงราว 14,000 หยวน (1,932 ดอลลาร์สหรัฐฯ) โดย Model Y รถยนต์ขายดีที่สุดของบริษัทในประเทศ ณ ปัจจุบัน เริ่มต้นที่ราคาต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 249,900 หยวน (34,502 ดอลลาร์สหรัฐฯ)
สำหรับในเยอรมนี ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ Tesla ในยุโรป Tesla Model 3 แบบขับเคลื่อนล้อหลัง ก็ถูกลดราคาลง 2,000 ยูโร (2,132 ดอลลาร์สหรัฐฯ) เหลือ 40,990 ยูโร (43,707 ดอลลาร์สหรัฐฯ) สำหรับการลดราคาครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาในสหรัฐฯ โดย Tesla ลดราคา 3 ใน 5 รุ่น ราคาของรุ่น Model Y, Model X และ Model S ลดลงคันละ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่ราคา Model 3 และ Cybertruck ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
การลดราคาอย่างรวดเร็วนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับ Tesla หุ้นของบริษทร่วงลงกว่า 40% ในปีนี้ หลังจากที่ประกาศว่ายอดส่งมอบรถลดลงในรอบไตรมาสเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ปี รวมถึงประกาศลดพนักงานลงกว่า 10% ของทั้งหมดทั่วโลก และเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา Elon Musk ซีอีโอของ Tesla ประกาศเลื่อนการเดินทางไปยังประเทศอินเดีย โดยอ้างถึง ภาระหน้าที่หนักมากที่บริษัทในเวลานี้ จึงไม่สามารถเดินทางไปยังประเทศอินเดียได้ในเวลานี้
Tesla รับศึกรอบด้านในประเทศจีน
ประเทศจีนในเวลานี้เป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และจากการลดราคาของ Tesla คาดว่าจะทำให้สงครามราคารุนแรงขึ้นในภาคตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนอย่าง Li Auto (LI) ที่นำโดยนักธุรกิจมหาเศรษฐี Li Xiang ตอบโต้ด้วยการประกาศลดราคาทั้งสี่รุ่นที่มีผลทันที รถรุ่น Li Mega ซึ่งทางบริษัทระบุว่าเป็นรถยนต์ EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถูกขายในราคาที่ลดลง 30,000 หยวน (4,142 ดอลลาร์สหรัฐฯ)
ทำให้เวลานี้ Tesla กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดอยู่แล้วในตลาดจีน โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว บริษัทรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่จากจีนอย่าง BYD สามารถแซงหน้า Tesla ในฐานะแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในโลกได้ช่วงเวลาสั้นๆ เนื่องจากรถของ BYD นั้นมีราคาที่จับต้องได้มากกว่าเมื่อเทียบกับ Tesla
สงครามราคารถยนต์ไฟฟ้า กำลังระอุ
สงครามราคารถยนต์ไฟฟ้าของจีน เริ่มขึ้นในเดือนตุลาคม ปี 2022 เมื่อ Tesla ลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขาย ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่ทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลง ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่เกือบทั้งหมดรวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ก็ลดราคาตาม ส่งผลกระทบกับผลกำไรของทั้งวงการ และการแข่งขันยังคงดำเนินต่อไปในปี 2024 พร้อมผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่กว่า 30 ราย ประกาศลดราคามากขึ้น
โดยในเดือนมีนาคม BYD ได้ลดราคาเริ่มต้นของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่ถูกที่สุดอย่าง 'Seagull hatchback' ลง 5% เหลือที่ราคา 69,800 หยวน (9,670 ดอลลาร์สหรัฐฯ) และในเดือนเดียวกันนั้น Xiaomi ผู้ผลิตสมาร์ทโฟน ก็เข้าร่วมวงการรถไฟฟ้าด้วยการเปิดตัวรถซีดานรุ่น SU7 ที่ตั้งเป้าแข่งกับ Tesla และเมื่อวันศุกร์ XPeng ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากกว่างโจว ประกาศจะมอบเงินช่วยเหลือมูลค่า 500 ล้านหยวน (69 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ให้กับผู้ซื้อที่จอง 4 รุ่นของทางบริษัท
Tesla กลับคืนสู่บัลลังก์ผู้ขายรถ EV อันดับ 1 ของโลก
ถึงแม้ว่า ค่ายรถยนต์ BYD จะเคยแซงยักษ์ใหญ่จากอเมริกาขึ้นเป็นผู้ขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) อันดับหนึ่งของโลกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 แต่เนื่องจากยอดขายของบริษัทจีนลดลงอย่างมากในไตรมาสแรกของปี 2024 ทำให้ Tesla กลับมาทวงคืนตำแหน่งแม้ว่าจะมียอดขายที่ไม่ดีนักในช่วงเวลาดังกล่าวก็ตาม
จากรายงาน Tesla ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2023 Tesla เคยแพ้ตำแหน่งแชมป์ให้กับ BYD ไปแล้ว โดย BYD ส่งมอบรถไปได้ 526,409 คัน แซงหน้า Tesla ที่ส่งมอบไปได้ 484,507 คัน
แต่ล่าสุดในไตรมาสแรกของปี 2024 Tesla ส่งมอบรถยนต์ได้ทั้งหมด 386,810 คัน ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 ผลงานการผลิตอยู่ที่ 433,371 คัน ตัวเลขนี้ทำให้ Tesla กลับมาคว้าแชมป์ผู้ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกในไตรมาสแรก แซงหน้าคู่แข่งสำคัญอย่าง BYD ที่ส่งมอบไปได้ 300,114 คัน
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะในไตรมาสนี้ไม่ได้ช่วยสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่อ Tesla มากนัก เพราะเมื่อเทียบกับยอดส่งมอบในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ผลงานของ Tesla กลับ ลดลง อย่างเห็นได้ชัด
ที่มา CNN