บทความนี้ SPOTLIGHT ชวนทุกคนมาถอดกลยุทธ์ MAGURO เปิดร้านยังไงให้ปัง ท่ามกลางการแข่งขันร้านอาหารญี่ปุ่น-เกาหลีที่ดุเดือด โดยทีม SPOTLIGHT ได้มีโอกาส Group Interview และได้พูดคุยสุด Exclusive กับคุณคุณป้อ– จักรกฤติ สายสมบูรณ์ กรรมการบริหาร และหนึ่งในผู้ก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และคุณอาม-ธีรภพ กรานเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด
ถอด 5 กลยุทธ์ ของ MAGURO Group
1.กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง
MAGURO เลือกเปิดสาขาแรกๆในกรุงเทพ ชานเมือง พื้นที่นอกเมือง แต่ต้องเป็นพื้นที่ที่คนมีกำลังซื้อพร้อมจ่าย โดยเปิดสาขาแรกที่ Chic Republic บางนา เนื่องจากโลเคชั่น ไม่ไกลสนามบินสุวรรณภูมิ ไม่ไกลจากห้างเมกะบางนา ค่าเช่าไม่แพง หลังจากนั้นก็เริ่มเปิดสาขาอื่นๆ เช่น สาขาแจ้งวัฒนะ พอแบรนด์เริ่มติดตลาดจึงได้รุกเข้ามาเปิดใจกลางเมือง
คุณจักรกฤติ ได้เล่าให้ SPOTLIGHT ฟังว่า แม้ว่าห้างสรรพสินค้าจะเป็นโลเคชั่นที่ดี สร้างการรับรู้ และการมองเห็นของผู้บริโภคจำนวนมาก แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าห้างสรรพสินค้ามักจะมีค่าเช่าที่แพง ทำให้ การสร้างร้านแบบ stand alone จะสร้างความคุ้มค่ามากกว่า แม้ว่าการก่อสร้างร้านจะแพงกว่าในห้างสรรพสินค้า 20-30% แต่สามารถคืนทุนได้ในระยะยาว
2.สร้างตัวต้นจากโลกออนไลน์
คุณจักรกฤติ ยังได้บอกอีกว่า เนื่องจากสาขาแรกของ MAGURO ตั้งอยู่ที่ Chic Republic บางนา โลเคชั่นไม่ได้อยู่ใจกลางเมือง โจทย์แรกของ MAGURO คือ “การสร้างการรับรู้ต่อผู้บริโภค ว่าร้านเราอยู่ตรงนี้ ผ่านการตลาดทาง Facebook” ทำให้ในช่วงแรก MAGURO ได้สร้างปรากฎการณ์ "ร้านซูชิคิวยาว" ดึงดูดลูกค้าให้ยินดีต่อแถวเป็นชั่วโมงๆ และเกิดการแนะนำผ่านปากต่อปาก (Word of mouth) ว่ามีร้านอาหารญี่ปุ่นพรีเมี่ยมมาเปิดแถวบางนา
โดยคุณธีรภพ ได้เปิดเผยว่า MAGURO ได้สร้างคอนเทนต์หลากหลายรูปแบบที่สร้างการรับรู้ต่อผู้บริโภคผ่านโลกออนไลน์ เช่น วีดีโอมาร์เก็ตติ้ง โฆษณาสั้นวันพ่อ-วันแม่ แต่สิ่งที่ทำผู้บริโภคชอบและเกิดไวรัลในโลกออนไลน์ นั้นก็คือการสร้าง Value Content เช่น วิธีการกินซูชิที่ถูกต้อง, วัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น หรือแม้แต่คอนเทนต์ วันปลาแซลมอนโลก
3.การสร้างแบรนด์ คือการสร้าง Value
หนึ่งในโจทย์หลัก คือ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า สร้างคุณค่าในมุมที่คนอื่นยังไม่มี ผ่านคอนเซ็ปต์ที่ชัดเจนในแต่ละร้านค้า และท้ายที่สุดลูกค้าจะเช็กบิลไป ต้องไปรับประสบการณ์ที่ดีที่สุด
MAGURO GROUP ได้ดำเนินธุรกิจผ่านปรัชญา “การให้มากกว่าที่ขอ” (Give More) ใส่ลงในทุกดีเทลของร้าอาหาร ตั้งแต่ คุณภาพของอาหารที่สดใหม่ วัตถุดิบส่งตรงญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ การตกแต่งร้านที่สวยงาม การบริการที่ใส่ใจเหนือระดับ ผู้บริโภคจะต้องรู้สึกคุ้มค่า คุ้มราคากับราคาที่จ่ายไป ในทุกธุรกิจร้านอาหาร ทั้ง 4 แบรนด์ กว่า 31 ร้าน ได้แก่
-
MAGURO 16 ร้าน : ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิสไตล์ระดับพรีเมียม นำเสนอ "ซูชิที่เต็มอิ่มทุกสัมผัส" (Sensual Sushi)
-
SSAMTHING TOGETHER 6 ร้าน : ร้านอาหารปิ้งย่างเกาหลีพรีเมียม รสชาติและการบริการเหมือนเราไปกินที่เกาหลีใต้
-
HITORI SHABU 8 ร้าน : ร้านชาบูและสุกี้ยากี้หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซต้นตำหรับจากญี่ปุ่น
-
HITORI SUKIYAKI 1 ร้าน: ร้านสุกี้ยากี้ภายใต้คอนเซปต์ Chef’s Table SUKIYAKI หรือ Authentic Japanese Sukiyaki Course
4.ทุก 3 เดือน ต้องออกเมนูใหม่
คุณธีรภพ เผยว่า ปัจจุบัน MAGURO มีเมนูมากกว่า 200 รายการ แต่ทุก 3 เดือนเราจะมีเมนูใหม่ๆออกมาเสมอ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ตื่นตาตื่นใจแก่ผู้บริโภค ผ่านความคิดสร้างสรรค์ของ R&D (Research and Development)
5.ใช้ DATA ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
บริษัทได้มีการใช้ Data จากระบบ CRM หรือระบบ Customer Relation Management เพื่อจับพฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบัน พบว่าลูกค้าที่เข้ามารับประทานอาหารที่ร้านในเครือ MAGURO ในทุก ๆ แบรนด์ มีความหลากหลายทั้งด้านอายุ อาชีพ รวมถึงผู้ร่วมรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยกลุ่มขนาดเล็ก (2-3 คน) มากขึ้น
ทำให้แบรนด์ได้มีการเพิ่มเซ็ตเมนูขนาดใหญ่ สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มาในรูปแบบครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนขนาดใหญ่ และเซ็ตเมนูขนาดเล็ก-กลางเข้ามารองรับกลุ่มลูกค้าที่มาทานคนเดียว หรือมาเป็นคู่ เช่นเมนู Lady’s Salmon ซาชิมิแซลมอน 5 ชิ้น ขนาดพอดีคำ และ Perfect Portion Salmon ซาชิมิแซลมอนขนาดใหญ่เต็มคำในปริมาณ 4 ชิ้น เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าอย่างครอบคลุมในทุกกลุ่มความต้องการ
โดย คุณเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยว่า “ สำหรับในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทวางกลยุทธ์ธุรกิจเชิงรุก เดินหน้าขยายกิจการ ด้วยการเปิด 11 ร้านใหม่ ใน ครึ่งปีหลัง ทำให้ปีนี้เราจะเปิดร้านใหม่ทั้งหมด 13 ร้าน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าระดับพรีเมียม และ พรีเมียม-แมส ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ทำให้สิ้นปีนี้ Maguro จะมีเครือข่ายทั้งหมด 38 ร้าน บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า แผนการขยายธุรกิจเชิงรุก ด้วยการเปิด 13 ร้านใหม่ ซึ่งมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 11 ร้าน รวมถึงการเปิดแบรนด์ใหม่อย่างน้อย 2 แบรนด์ คือ HITORI SUKIYAKI และแบรนด์ใหม่ซึ่งจะเปิดให้บริการในไตรมาส 4 นี้จะสร้างรายได้รวมของบริษัทเติบโตได้ตามเป้าหมาย 30% ในปีนี้”