ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังกลายเป็นกระแสหลักของโลก โดยหลายประเทศมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยมลพิษจากยานยนต์และมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ประเทศไทยเองก็มีเป้าหมายที่จะผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2573 กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง จึงได้ออกมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต ร่วมลงนามในข้อตกลงการรับสิทธิตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 กับ 3 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด
การลงนามในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายยานยนต์ไฟฟ้า EV3.5 ของกรมสรรพสามิต ซึ่งมุ่งส่งเสริมและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ควบคู่กับการขยายโอกาสของประเทศไทยในเวทีโลกในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญในประเทศไทย ให้เกิดการขยายตัวและเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค สำหรับบริษัทฯ ที่เข้าร่วมมาตรการ EV 3.5 จะได้รับการสนับสนุนจากกรมสรรพสามิต มีดังนี้
สิทธิรับเงินอุดหนุน กรณีขนาดแบตเตอรี่ ตั้งแต่ 10 kWh แต่ไม่เกิน 50 kWh
สิทธิรับเงินอุดหนุน กรณีขนาดแบตเตอรี่ ตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป
สิทธิลดอัตราอากรขาเข้าไม่เกินร้อยละ 40 (สำหรับรถที่ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ที่มีการนำเข้าในช่วงปี 2567 - 2568) นอกจากนี้ยังรับสิทธิลดภาษีสรรพสามิตจากร้อยละ 8 เหลือร้อยละ 2 ในปี 2567 - 2570
และเพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ กรมสรรพสามิตได้กำหนดเงื่อนไขให้ผู้เข้าร่วมมาตรการ EV 3.5 จะต้องทำการผลิตรถยนต์เพื่อชดเชยการนำเข้าภายในปี 2569 ในอัตราส่วน 1 : 2 ของจำนวนนำเข้าในช่วงปี 2567 – 2568 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 2 คัน) และผลิตชดเชยการนำเข้าภายในปี 2570 ในอัตราส่วน 1 : 3 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 3 คัน)
ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า “กรมสรรพสามิตมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางผลิตอีวีในภูมิภาค โดยมาตรการ EV3.5 จะช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการในการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และบรรลุเป้าหมายการผลิตยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (ZEV) ให้ได้อย่างน้อย 30% ในปี พ.ศ. 2573”
นอกจากนี้ยังคาดการณ์การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากมาตรการ EV 3.5 ประมาณ 175,000 คัน ในปี 2567-2568 ส่งผลให้เกิดการผลิตรถยนต์ภายในประเทศ ประมาณ 350,000 – 525,000 คัน ภายในปี 2570 โดยมียอดประมาณการเงินอุดหนุน ในมาตรการ EV 3.5 อยู่ที่ 34,060 ล้านบาท อย่างไรก็ดี มาตรการ EV 3.5 ในครั้งนี้ จะเป็นการช่วยส่งเสริมและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันควบคู่กับการสร้างโอกาสในการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงสนับสนุนและส่งเสริมในเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตามยุทธศาสตร์กรมสรรพสามิต ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยภาษีสรรพสามิต มุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อเดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน