ล่าสุด การบินไทยได้ออกมาชี้แจงกรณีจัดซื้อเครื่องบิน 45 ลำแล้วว่า โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการลงนามจัดหาเครื่องบิน และเครื่องยนต์ร่วมกับบริษัท โบอิ้ง และ บริษัท จีอี แอโรสเปซ เพื่อจัดหาเครื่องบินแบบลำตัวกว้างพิสัยกลางและไกลพร้อมเครื่องยนต์จำนวน 45 ลำ พร้อมสิทธิในการจัดหาเพิ่มเติม (Option Order) อีกจำนวนหนึ่งเพื่อนำเข้าประจำการในฝูงบินของบริษัท ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2570 – 2576 เพี่อเสริมสร้างการเติบโตและผลกำไรอย่างยั่งยืน ดันกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการบินเต็มรูปแบบ
โดยการจัดหาเครื่องบินในครั้งนี้เป็นการดำเนินการ เพื่อทดแทนเครื่องบินที่มีกำหนดจะปลดระวางและทยอยหมดสัญญาเช่าลงเพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดของการบินไทย ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
ส่วนแบ่งการตลาดของการบินไทย เฉพาะ ณ สนามบินสุวรรณภูมิมีสัดส่วนลดลงจาก 51.3% ในปี 2556 เหลือเพียง 27.0% ในปี 2566 ด้วยข้อจำกัดด้านฝูงบินของการบินไทย ทั้งในเชิงปริมาณและประสิทธิภาพของเครื่องบินในฝูงบิน
โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ออกเอกสารเชิญยื่นข้อเสนอราคา (RFP) ไปยังบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินและเครื่องยนต์ซึ่งเป็นการดำเนินการตามแผนบริหารเครือข่ายเส้นทางบินและฝูงบินระยะยาว เพื่อสร้างความมั่นใจว่า การบินไทยจะสามารถรักษาระดับความสามารถในการหารายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายและประมาณการทางการเงินที่จัดทำขึ้น
จากปี 2556 การบินไทยมีเครื่องบินรวมทั้งสิ้นจำนวน 100 ลำ ต่อมาเมื่ออุตสาหกรรมการบินได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบกับการที่บริษัทเข้าสู่การฟื้นฟูกิจการ บริษัทจึงได้ปลดระวางเครื่องบินจำนวนหนึ่งที่มีอายุการใช้งานยาวนาน มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงสูง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสารเสื่อมสภาพ มีค่าซ่อมบำรุงที่เพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี มีมูลค่าการลงทุนสูงและไม่คุ้มค่าที่จะปรับปรุงเพื่อคืนสภาพให้สามารถกลับมาปฏิบัติการบิน ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2565 การบินไทยมีเครื่องบินที่ใช้ในการปฏิบัติการบินเหลือเพียงจำนวน 64 ลำ หรือมีขนาดฝูงบินรวมลดลง 36% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2556
ขณะที่ระหว่างปี 2565 – 2566 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้แก้ไขข้อจำกัดด้านฝูงบินโดยการจัดหาเครื่องบินด้วยวิธีเช่าดำเนินงาน (Operating Lease) เพื่อนำมาใช้ในการปฏิบัติการบินรองรับปริมาณความต้องการเดินทางที่ฟื้นตัวต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว โดยเป็นเครื่องบินลำตัวกว้างจำนวน 21 ลำซึ่งทยอยรับตั้งแต่ไตรมาสที่สองของปี 2566 ส่วนใหญ่เป็นเครื่องบินแบบ Airbus 350 ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ Rolls-Royce แบบ Trent XWB และจะเริ่มทยอยรับเครื่องบินลำตัวแคบแบบแอร์บัส 321neo ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2568 เป็นต้นไป ทำให้จำนวนเครื่องบินในฝูงบิน เพิ่มขึ้นเป็น 70 ลำในปี 2566 ที่ผ่านมา และจะเพิ่มขึ้นเป็น 79 ลำในปี 2567 และ 90 ลำในปี 2568 ตามลำดับ
หากพิจารณาข้อเท็จจริงเรื่องจำนวนเครื่องบินที่อยู่ในแผนปลดระวางและสัญญาเช่าจะทยอยหมดอายุลง ระยะเวลาการผลิตของผู้ผลิต และปริมาณความต้องการเครื่องบินในอุตสาหกรรมที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากการบินไทยไม่ดำเนินการจัดหาฝูงบินระยะยาวในครั้งนี้ จะส่งผลให้ในปี 2576 ฝูงบินของบริษัทฯ จะมีจำนวนเครื่องบินเหลือเพียง 51 ลำ หรือน้อยกว่าปี 2556 คิดเป็นสัดส่วน 49%
ทั้งนี้ จะส่งผลต่อการสร้างรายได้ การรักษาส่วนแบ่งทางตลาด ขีดความสามารถในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ตลอดจนความสามารถในการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ และเมื่อพิจารณาจำนวนเครื่องบินที่จัดหาเพิ่มเติมในคราวนี้จำนวน 45 ลำ ในปี 2576 บริษัทจะมีจำนวนเครื่องบินรวมทั้งสิ้น 96 ลำ ซึ่งก็ยังคงน้อยกว่าจำนวนเครื่องบินในฝูงบิน เมื่อปี 2556
สำหรับแผนการเงินที่จะนำมาชำระค่าเครื่องบินและเครื่องยนต์นั้น ขณะนี้บริษัทได้เตรียมความพร้อมทางการเงินและคาดการณ์สภาพคล่องในอนาคตว่า จะมีจำนวนเพียงพอต่อการชำระค่าเครื่องบินและเครื่องยนต์ตามกรอบเวลาการจัดหา
โดยการบินไทยจะพิจารณาแหล่งเงินทุนและเลือกวิธีการจัดหาเงินทุนที่เหมาะสมอีกครั้ง ซึ่งจะขึ้นกับสถานะการเงิน สภาพคล่อง และความคุ้มค่าทางการเงิน โดยจะเปิดกว้างพิจารณารูปแบบการเช่าดำเนินการและเช่าซื้อเครื่องบินในสัดส่วนที่เหมาะสม และการจัดหาเครื่องบินในครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการแต่อย่างใด
ในการจัดหาเครื่องบินครั้งนี้ การบินไทยได้ดำเนินการอย่างรอบคอบและให้ความสำคัญกับความโปร่งใสในกระบวนการ ดำเนินการตรงกับบริษัทผู้ผลิตทุกรายโดยไม่ผ่านตัวแทน อ้างอิงรูปแบบการดำเนินการที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมการบิน เทียบเคียงสายการบินชั้นนำอื่นๆ ในระดับนานาชาติ
โดยได้มีที่ปรึกษาชั้นนำที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมการบินระหว่างประเทศร่วมพัฒนาแบบจำลองเครือข่ายเส้นทางบิน แบบจำลองและประมาณการทางการเงิน กำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์การคัดเลือกประเมินผลและการเจรจาต่อรองกับผู้ผลิต โดยมุ่งเน้นประโยชน์สูงสุดเป็นสำคัญ ดังนี้
ทั้งนี้ จะเปิดเผยข้อเท็จจริงในรายละเอียดเกี่ยวกับแบบเครื่องบินและเครื่องยนต์ในการจัดหาครั้งนี้ร่วมกับผู้ผลิตในงาน Singapore Airshow ที่จะจัดขึ้น ณ ประเทศสิงคโปร์ระหว่างวันที่ 20-25 กุมภาพันธ์ศกนี้
การบินไทยจะดำเนินธุรกิจให้บรรลุเป้าหมายและความสำเร็จด้วยกระบวนการและหลักเกณฑ์ที่มีความโปร่งใส ยึดถือเอาประโยชน์สูงสุดของบริษัท เป็นสำคัญ มิเพียงแต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการฟื้นฟูกิจการ แต่ยังเพื่อสร้างการเติบโตและผล
กำไรทางธุรกิจอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต และก้าวไปสู่ความเป็นสายการบินชั้นนำของโลกที่คนไทยทุกคนภาคภูมิใจ
โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้แจ้งเตือนการบินไทย เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน โดยให้ปรับปรุงแก้ไขเหตุเพิกถอนให้หมดไปภายในวันที่ 7 มีนาคม 2567 นี้
รายได้รวม 115,897 ล้านบาท +76.8%
กำไรสุทธิ 16,314 ล้านบาท +245%
จำนวนผู้โดยสาร 10.13 ล้านคน +77.4%
รายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วย (บาท/คน/ก.ม.) 3.01 +14.4%
จำนวนเครื่องบิน 75 ลำ -17.6%