โดยดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน บ. หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด
ท่ามกลางกระแสเงินเฟ้อทั่วโลกที่เป็นขาขึ้น โดยเงินเฟ้อไทยปรับตัวสูงสุดในรอบ 8 เดือน ที่ 3.2% และหากไม่นับเดือน เม.ย. ปีที่แล้วที่เงินเฟ้อสูงที่ 3.4% จากปัจจัยฐานต่ำแล้ว นั้น เงินเฟ้อไทยที่ 3.2% นั้นสูงที่สุดในรอบเกือบ 9 ปี เลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน เงินเฟ้อทั่วโลกก็ปรับสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปีที่ 7.5% หรือจะเป็นในยูโรโซนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 5.1% จนทำให้ธนาคารกลางในหลายประเทศประกาศพร้อมขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมความเสี่ยงเงินเฟ้อพุ่งกระฉูด (Hyperinflation) แต่สำหรับประเทศไทย ภาพจะเป็นเช่นไร โอกาสที่เงินเฟ้อปีนี้จะพุ่งจนฉุดไม่อยู่จะมีหรือไม่ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่อย่างไร
ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ก.พ. กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ต่อปี และประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง การระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Omicron ไม่มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมากนัก ขณะที่ กนง. มองว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มเร่งขึ้นในช่วงแรก ของปี 2565 จากราคาพลังงานและอาหารสดบางประเภท (อันได้แก่ ผัก เครื่องปรุง และเนื้อสัตว์) แต่แรงกดดันเงินเฟ้อจากฝั่งความต้องการซื้อสินค้าและบริการยังน้อย และในระยะต่อไป แม้เงินเฟ้อจะมีแนวโน้มสูงกว่ากรอบเป้าหมายที่ 1-3% ได้บ้าง แต่ครึ่งปีหลังน่าจะปรับลดลง
นอกจากนั้น ผู้เขียนขอชี้ประเด็นที่น่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับเงินเฟ้อ ทั้งจากการวิเคราะห์ของฝ่ายเลขาฯ ของ กนง. และจากของผู้เขียนเอง ดังนี้
สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของผู้เขียน ที่วิเคราะห์ว่า ปัจจุบัน GDP ไทยยังหดตัว 5% นับจากก่อน Covid (ไตรมาส 4 ปี 2019) และถ้าหากพิจารณาบาง Sector อย่างขนส่งและท่องเที่ยวยังหดตัวกว่า 24-45% บ่งชี้ว่ารายได้ของแรงงานในกลุ่มเหล่านั้นยังไม่ฟื้นตัว ดังนั้น การขึ้นดอกเบี้ยก็จะกระทบต่อกลุ่มเหล่านั้นสูงกว่ากลุ่มอื่น
การคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เปรียบเทียบกับเงินเฟ้อ
คำถามคือ แม้ดอกเบี้ยจะไม่เพิ่มขึ้น ณ ขณะนี้ แต่ต่อไปจะปรับขึ้นหรือไม่ ปัจจัยสำคัญคืออะไร
การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. นั้น มีปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตา 3 ประการดังนี้
ประการที่ 1 ราคาน้ำมันรวมถึงราคาพลังงานโดยรวม เพราะเป็นต้นทุนค่าขนส่งที่สำคัญในการดำเนินการผลิต โดยหากราคาพลังงานไม่สูงขึ้นมาก เงินเฟ้อก็จะยังไม่สูง ธปท. ก็จะยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย โดยจากการคำนวณของผู้เขียน หากราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยที่ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เงินเฟ้อไทยจะอยู่ที่ระดับ 1.6% แต่หการาคาปรับขึ้นเฉลี่ยเป็น 80 ดอลลาร์ เงินเฟ้อไทยจะอยู่ที่ระดับ 2.1% ทำให้ ธปท. อาจเริ่มพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ย (แต่อาจยังไม่ปรับในปีนี้) แต่หากราคาเฉลี่ยปรับขึ้นเป็น 90 ดอลลาร์ เป็นไปได้สูงที่อาจเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้
ประการที่ 2 ค่าเงินบาท หากเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าลงในระยะต่อไป ตามการดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวของ Fed และธนาคารกลางขนาดใหญ่ และทำให้บาทอ่อนค่าลงมากและอ่อนลงอย่างรวดเร็ว เช่น ไปถึง 36 บาทต่อดอลลาร์ภายใน 2-3 เดือน เป็นไปได้ที่ ธปท. อาจต้องปรับดอกเบี้่ยขึ้นบ้างในปีนี้
ประการสุดท้าย ได้แก่พลวัตของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป โดยหาก (1) เงินเฟ้อเริ่มกระจายตัวเป็นวงกว้าง โดยหาก 20-30% ของราคาสินค้าในตระกร้าเงินเฟ้อเริ่มปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (2) หากค่าจ้างขั้้นต่ำมีการปรับเพิ่มขึ้น และ/หรือ (3) หากเศรษฐกิจมีทิศทางฟื้นตัวรวดเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยหากเศรษฐกิจกลับมาถึงระดับก่อนวิกฤต Covid ภายในปีนี้ พร้อมกับเงินเฟ้อที่สูงขึ้น อาจทำให้ ธปท. ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ได้
ภาพ: เศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างไม่เท่าเทียมกัน (K-shape recovery)
ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยยังมีความเสี่ยงต่อกลุ่มที่รายได้ยังไม่ฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเชื่อว่า
"แม้ ธปท. จะยังไม่ปรับดอกเบี้ยขึ้นในปีนี้ แต่ในปีหน้าอาจเริ่มเห็นการปรับขึ้นได้ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมาเข้าสู่ระดับปกติ และกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายที่จะไหลออกมากขึ้นหากธนาคารกลางหลักปรับขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง แต่ผู้เขียนก็เชื่อว่าดอกเบี้ยอาจไม่สามารถปรับขึ้นได้มากนักเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ค่อนข้างอ่อนแอกว่าในช่วงก่อน ทั้งจากหนี้ภาครัฐที่สูงขึ้น และรายได้ที่อ่อนแอกว่าช่วงก่อนหน้า แม้ดอกเบี้ยจะยังไม่เป็นขาขึ้นในปีนี้ แต่ก็อาจต้องขึ้นในอีกไม่ช้า นักธุรกิจและนักลงทุนทั้งหลาย โปรดระวังในการก่อหนี้"
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด