เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังส่งสัญญาณร้อนแรง! เมื่อดัชนีเงินเฟ้อพื้นฐานในโตเกียวพุ่งทะยานเกินเป้าหมาย 2% ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ตั้งไว้ สะท้อนภาพค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าบ้าน ค่าสาธารณูปโภค หรือแม้แต่ราคาอาหาร สถานการณ์ดังกล่าว กดดันให้ BOJ ต้องพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบหลายปี ท่ามกลางความกังวลว่า การขึ้นดอกเบี้ยอาจกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ คำถามสำคัญคือ การขึ้นดอกเบี้ย จะเป็น "ทางรอด" ของเศรษฐกิจญี่ปุ่นจริงหรือ?
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (CPI) ของกรุงโตเกียวปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่าเป้าหมาย 2% ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กำหนดไว้ บ่งชี้ถึงแรงกดดันด้านราคาที่ขยายตัว และเป็นปัจจัยสนับสนุนการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม BOJ เดือนธันวาคม
โดยข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของญี่ปุ่น บ่งชี้ว่า ดัชนี CPI พื้นฐานของกรุงโตเกียว ซึ่งไม่รวมราคาอาหารสด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.2% ในเดือนพฤศจิกายน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2.1% และเร่งตัวขึ้นจากเดือนตุลาคมที่ 1.8%
การเพิ่มขึ้นของดัชนี CPI พื้นฐาน สะท้อนถึงแรงกดดันด้านราคาในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดัชนีที่ไม่รวมทั้งอาหารสดและพลังงาน ซึ่ง BOJ ใช้เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากอุปสงค์ ปรับตัวสูงขึ้น 1.9% ตอกย้ำแนวโน้มเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง หลังจากการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า BOJ มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้นจากระดับ 0.25% ในการประชุมเดือนธันวาคม
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BOJ หากเกิดขึ้นจริง จะเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น และอาจช่วยกระตุ้นการลงทุนและการใช้จ่ายภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม BOJ ยังคงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์เงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมอย่างรอบด้าน
ราคาสินค้าและบริการในญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาในภาคบริการ ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในการปรับนโยบายการเงินสู่ภาวะปกติ ด้าน มาซาโตะ โคอิเกะ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Sompo Institute Plus กล่าวว่า "ราคาที่เพิ่มขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในภาคอาหาร แต่ยังขยายตัวไปสู่ภาคบริการ ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับ BOJ ในการดำเนินนโยบายสู่ภาวะปกติ"
หลังจากการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 0.9% เมื่อเทียบกับเงินเยน แตะระดับ 150.17 เยน ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง 3% ในสัปดาห์นี้ ขณะที่นักลงทุนมองว่า มีความเป็นไปได้ถึง 60% ที่ BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม หลังจากที่ยังไม่สามารถตัดสินใจได้ก่อนหน้านี้
การที่ราคาในภาคบริการปรับตัวสูงขึ้น บ่งชี้ว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อกำลังขยายตัวในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลดัชนี CPI พื้นฐานของกรุงโตเกียวที่เพิ่มขึ้นเกินกว่าเป้าหมายของ BOJ ปัจจัยเหล่านี้สนับสนุนให้ BOJ สามารถพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ และนำนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินมาเป็นเวลานาน
ข้อมูลเงินเฟ้อของกรุงโตเกียว ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดแนวโน้มราคาทั่วประเทศ เผยให้เห็นว่า ครัวเรือนกำลังเผชิญกับค่าเช่าบ้าน ค่าสาธารณูปโภค และค่าอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ตลาดแรงงานตึงตัว หนุนให้ BOJ มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จากรายงานดัชนี CPI พื้นฐานของกรุงโตเกียว ชี้ให้เห็นว่า การเพิ่มขึ้นของดัชนี CPI ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการยกเลิกมาตรการอุดหนุนค่าสาธารณูปโภคในเดือนพฤศจิกายน อย่างไรก็ตาม ราคาในภาคบริการยังคงปรับตัวสูงขึ้น 0.9% ในเดือนพฤศจิกายน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งตัวขึ้นจากเดือนตุลาคมที่ 0.8% ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ BOJ ที่ว่า การขึ้นค่าจ้างอย่างต่อเนื่อง กำลังกระตุ้นให้ภาคธุรกิจปรับขึ้นราคาบริการ
นอกจากนี้ ข้อมูลที่เผยแพร่ในวันเดียวกันยังระบุว่า อัตราส่วนตำแหน่งงานว่างต่อผู้หางานปรับตัวสูงขึ้นในเดือนตุลาคม สะท้อนให้เห็นถึงภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานของญี่ปุ่น โดย คุณ โยชิมาสะ มารุยามะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ตลาดของ SMBC Nikko Securities กล่าวว่า "เมื่อพิจารณาจากปัจจัยภายในประเทศ ไม่มีอะไรที่จะขัดขวางไม่ให้ BOJ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก" โดยเขาคาดการณ์ว่า BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม
ภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ประกอบกับตลาดแรงงานที่ตึงตัว เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ BOJ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ แม้ว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่ BOJ จำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพด้านราคา
จากข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของญี่ปุ่นที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง สะท้อนผ่านตัวเลขดัชนี CPI พื้นฐานของกรุงโตเกียวที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินกว่าเป้าหมาย 2% ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กำหนดไว้ ประกอบกับแรงกดดันด้านราคาที่ขยายตัวในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคบริการ และภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ BOJ มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนธันวาคม
แม้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BOJ อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ BOJ ต้องดำเนินการเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพด้านราคา โดย BOJ จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์เงินเฟ้อ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากการดำเนินนโยบายการเงินอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินและปรับเปลี่ยนนโยบายให้เหมาะสมกับสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น เช่น ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ซึ่ง BOJ จำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อย่างรอบคอบ
ในท้ายที่สุด การตัดสินใจของ BOJ จะขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวม และการพิจารณาถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นในระยะยาว ซึ่งต้องติดตามการประชุม BOJ ในเดือนธันวาคมนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อดูทิศทางนโยบายการเงินของญี่ปุ่นในอนาคต
ที่มา reuters