เมื่อไม่นานมานี้ คำว่า “บริษัทซอมบี้” หรือ Zombie Company กลับมาเป็นที่พูดถึงในการวิเคราะห์เศรษฐกิจของไทยอีกครั้งหลังจากเป็นที่พูดถึงในช่วงโควิด-19
เนื่องจากในปัจจุบัน เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยเรียกว่าอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งหนึ่งในภาพสะท้อนของปัญหาก็คือ จำนวนบริษัทซอมบี้ในไทยที่ในปี 2566 มีสัดส่วนสูงถึง 5.8% โดยเฉพาะในหมู่บริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนโควิดที่ 5.6%
แต่ “บริษัทซอมบี้” นี้คืออะไร? มีที่มาอย่างไร? และถ้ามีเยอะในระบบเศรษฐกิจ จะส่งผลเสียอย่างไรบ้าง ในวันนี้ SPOTLIGHT จะพาไปหาคำตอบ
โดยนิยาม "บริษัทซอมบี้" เป็นคำที่ใช้เรียกบริษัทที่เหมือนจะดำเนินธุรกิจอยู่ได้ตามปกติ แต่แท้จริงแล้วไม่มีความสามารถในการแข่งขันและต้องพึ่งพาการช่วยเหลือทางการเงิน (bailout) เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไป
หรือเป็นบริษัทที่มี interest-coverage ratio เท่ากับ 1 หรือน้อยกว่า ซึ่งอธิบายเป็นภาษาง่ายๆ ได้ว่า มีภาระหนี้สูงจนดำเนินธุรกิจแล้วมีเงินมาจ่ายได้แค่ดอกเบี้ยของหนี้เท่านั้น ไม่สามารถเอาไปเคลียร์เงินต้นได้
และเมื่อหาเงินมาได้พอแค่จ่ายดอกเบี้ย บริษัทพวกนี้ก็ไม่มีเงินเหลือสำหรับลงทุนหรือขยายธุรกิจ ทำให้ต้องอยู่ไปวันๆ แบบไม่มีอนาคต
เรียกได้ว่า “ถึงไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต” เหมือนซอมบี้ที่เหมือนจะยังมีชีวิต เดินได้ กินได้ แต่ไม่สามารถจะกลับมามีชีวิต และเติบโตขึ้นไปมากกว่านี้ได้แล้ว
คำถามต่อมาคือ ในเมื่อบริษัทเหล่านี้ไม่มีศักยภาพในการเติบโตแล้ว ทำไมยังมีคนให้เงินช่วยเหลือยื้อชีวิตไว้อยู่?
เพื่อตอบคำถามนี้คงต้องพาทุกคนย้อนไปดูที่มาของคำว่าบริษัทซอมบี้เสียก่อน
คำว่า “บริษัทซอมบี้” เกิดขึ้นครั้งแรกในญี่ปุ่น ในช่วงปลายปี 1991 ที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเพิ่งเผชิญกับภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของบริษัทเป็นวงกว้าง
แต่แทนที่ธนาคารญี่ปุ่นจะปล่อยให้บริษัทหนี้ท่วมเหล่านี้ล้มหายตายจากไปตามกลไกตลาด ธนาคารญี่ปุ่นเลือกที่จะอัดฉีดเงินช่วยพยุงบริษัทเหล่านี้แทน พราะมองว่าบริษัทเหล่านี้ "ใหญ่เกินกว่าที่จะล้มได้" (Too Big To Fail) และกังวลว่าหากปล่อยให้ล้มลงจริง อาจสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ตัวอย่างชัด ๆ คือ ได-เอ (Daiei) ซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นที่มีปัญหาหนี้สินสะสม และประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างหนักในช่วงนั้น แต่ก็มีพนักงานอยู่เกือบ 100,000 คน
ทำให้กระทรวงการคลังของญี่ปุ่นในขณะนั้นมองว่าถ้าปล่อย Daiei ให้ล้ม คนจำนวนมหาศาลต้องเดือดร้อน และตัดสินใจอัดฉีดเงินเข้าไปเพิ่มสภาพคล่องให้บริษัทนี้ เพื่อยื้อให้พนักงานเหล่านี้ยังมีงานทำและมีรายได้
แต่สุดท้าย การช่วยเหลือนี้กลับส่งผลตรงกันข้าม เพราะแทนที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ นโยบายนี้กลับทำให้ญี่ปุ่นติดอยู่ใน "ทศวรรษที่สูญหาย" (Lost Decade) หรือภาวะเศรษฐกิจซบเซายาวนานเกินกว่าที่คาดไว้
โดยแม้ว่านโยบายนี้จะช่วยลดแรงกระแทกทางเศรษฐกิจในระยะสั้นได้จริง แต่ในระยะยาวกลับเหมือนเป็นเหมือนการใช้พลาสเตอร์ปิดบาดแผลลึก ดูเหมือนช่วยได้ แต่แท้จริงแล้ว เป็นการสร้างปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกยิ่งขึ้น
ในระบบเศรษฐกิจเสรี กลไกตลาดจะทำงานได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อทรัพยากรถูกใช้ไปกับสิ่งที่สร้างมูลค่าได้สูงสุด แต่พอรัฐบาลฝืนกลไกธรรมชาติ ด้วยการพยุงบริษัทที่ควรล้มหายไป หรือช่วยเหลือธุรกิจที่ใช้ทรัพยากรแบบไร้ประสิทธิภาพ ก็เท่ากับไปขัดขวางกระบวนการคัดเลือกของตลาด
การอุ้มบริษัทซอมบี้จะบีบให้รัฐบาลและธนาคารกลางต้องกดดอกเบี้ยให้ต่ำต่อไปเรื่อยๆ เพราะแค่ดอกเบี้ยขยับขึ้นนิดเดียว บริษัทที่มีหนี้สินล้นพ้นเหล่านี้ก็พร้อมล้มเป็นโดมิโน
และที่หนักไปกว่านั้นคือ คือ การทำแบบนี้จะทำให้ทรัพยากรที่ควรถูกนำไปใช้กับธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพกลับติดอยู่กับบริษัทเก่าที่หมดอนาคต เงินทุนที่ควรสร้างนวัตกรรมถูกฝังอยู่กับองค์กรที่ล้าหลัง แรงงานที่ควรเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจกลับต้องจมอยู่กับงานที่ไม่มีอนาคต
และสุดท้าย เศรษฐกิจโดยรวมก็กลายเป็นเครื่องยนต์ที่หมุนช้า ทั้งที่อาจมีศักยภาพในการขยายตัวมากกว่านั้น
ในประเทศไทย เราเริ่มเจอปัญหาบริษัทซอมบี้อย่างหนักในช่วงหลังการระบาดของโควิด-19 ที่สถาบันการเงินทยอยยกเลิกมาตรการช่วยเหลือทางการเงินให้กับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้คุณภาพหนี้ธุรกิจเริ่มถดถอยลง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ทำให้หลายกิจการเข้าสู่สภาวะ “ไม่ตายแต่ก็เหมือนตาย” หรือภาวะของ บริษัทซอมบี้
จากข้อมูลของ ttb analytics ในปี 2567 ประเทศไทยมีบริษัทซอมบี้กว่า 9.5% ของทั้งหมด โดยส่วนใหญ่แฝงตัวอยู่ในธุรกิจ SMEs สูงกว่าองค์กรขนาดใหญ่
โรงแรมและการท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ บริษัทส่วนบุคคล การประมง และเครื่องดื่ม ขณะที่ SCB EIC ประเมินว่าในปี 2566 ไทยมีบริษัทซอมบี้อยู่ 5.8% ของบริษัททั้งหมด ซึ่งถึงจะดีขึ้นจากปี 2564 ที่อยู่ที่ 7.4% แต่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนโควิดที่ 5.6% หรือในช่วงปี 2558-2562
แม้นักวิเคราะห์แต่ละสำนักจะประเมินไม่เท่ากัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทซอมบี้ในไทยนั้นมีอยู่จริง และกำลังกัดกินเศรษฐกิจไทยไปเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างถูกต้อง
ดังนั้น เพื่อลดผลกระทบจากบริษัทซอมบี้ รัฐบาลและธนาคารกลางควรปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทที่มีศักยภาพให้สามารถกลับมาทำกำไรได้ และปล่อยให้บริษัทที่ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพล้มละลาย เพื่อเปิดทางให้ธุรกิจใหม่เข้ามาแข่งขัน
นอกจากนี้ ยังควรส่งเสริมการศึกษาและพัฒนาแนวทางการบริหารธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดบริษัทซอมบี้ใหม่ในอนาคต
ที่มา : ttb analytics