ปี 2023 จีดีพีจีน โต 5.2% ตามเป้า แต่การเติบโตไตรมาสที่ 4 ต่ำกว่าคาด นักวิเคราะห์คาดปี 2024 เศรษฐกิจจะโตชะลอเหลือเฉลี่ย 4.6% เพราะคาดว่าภาคอสังหาฯ ที่ยังคงย่ำแย่จะกดดันเศรษฐกิจต่อเนื่อง ขณะที่ดีมานด์ภายในประเทศอาจยังไม่กลับมาจากการขาดความเชื่อมั่นในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ
ในวันนี้ (17 ม.ค) หลี่ เฉียง (Li Qiang) นายกรัฐมนตรีจีนได้เปิดเผยในการประชุมสภาเศรษฐกิจโลก หรือการประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 5.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ดันให้การเติบโตทั้งปีอยู่ที่ 5.2% ด้วย ซึ่งถึงเป้าหมายที่รัฐบาลจีนวางไว้
ทั้งนี้ แม้อัตราผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ (จีดีพี) ของจีนทั้งปีจะเติมโตตามเป้าที่วางไว้ การเติบโตในไตรมาสที่ 4 ของจีนพลาดเป้าของนักวิเคราะห์ซึ่งวางไว้ที่ 5.3% เล็กน้อย เพราะอัตราการผลิต ส่งออก และยอดขายที่พักอาศัยยังตกลงต่อเนื่องในเดือนธันวาคมปี 2024 ขณะที่อัตราการว่างงานสูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนพฤศจิกายน
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ในเดือนธันวาคมยอดขายที่พักอาศัยใหม่ในจีนลดลงมากที่สุดในรอบเกือบ 9 ปี ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2015 และลดลงเป็นเดือนที่หกติดต่อกัน และยอดขายตามพื้นที่ที่พักอาศัยยังลดลงถึง 8.5% ขณะที่ยอดก่อสร้างใหม่ลดลงถึง 20.4% ในปี 2023 สะท้อนว่าผู้บริโภคจีนยังขาดความเชื่อมั่นในภาคอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจโดยรวม และไม่ยอมเข้ามาใช้จ่ายกระตุ้นการเติบโตในภาคส่วนนี้
นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ 3 ยอดการลงทุนจากต่างประเทศในจีนยังติดลบเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1998 สะท้อนว่าบริษัทต่างชาติเริ่มไม่ต้องการที่จะลงทุนเพิ่มหรือลงทุนต่อในจีน และเมื่อนำมาประกอบกับยอดการว่างงานที่เพิ่มขึ้นเป็น 5.1% ในเดือนธันวาคมจาก 5% ในเดือนพฤศจิกายน เศรษฐกิจจีนจึงถือว่าเริ่มต้นปีได้ไม่สดใสนัก และต้องอาศัยแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพจากรัฐบาลมาช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและลงทุน
ในการกล่าวปาฐกถาในงานประชุม WEF นายหลี่กล่าวว่าในปี 2023 ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนไม่ได้มุ่งเน้นพึ่งพามาตรการแบบฉาบฉวยเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะไม่ต้องการการเติบโตในระยะสั้นๆ ที่อาจแลกมากับความเสี่ยงระยะยาว และต้องการที่จะเน้นการพัฒนาโครงสร้าง และตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศมากกว่า โดยที่ผ่านมาจีนได้ใช้มาตรการต่างๆ เช่น การลดดอกเบี้ยนโยบาย และเงินช่วยเหลือทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ในปี 2024 จีนมีแผนที่จะออกพันธบัตรมูลค่าถึงประมาณ 1 ล้านล้านหยวน เพื่อระดมทุนมาพัฒนาเศรษฐกิจ และปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์สำหรับบริษัทต่างชาติให้เข้ามาทำธุรกิจในจีนได้สะดวกมากยิ่งขึ้น และลดข้อจำกัดสำหรับบริษัทต่างชาติในการเข้ามาทำธุรกิจในภาคส่วนการผลิต
นอกจากนี้ นายหลี่ยังกล่าวอีกว่า จีนจะแก้ไขปัญหาและข้อจำกัดในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างพรมแดนซึ่งในปัจจุบันเป็นปัญหาในการดำเนินธุรกิจสำหรับบริษัทต่างชาติอยู่ เพราะว่า ในปัจจุบัน จีนมีกฎหมายควบคุมการเก็บและส่งออกข้อมูลภายในประเทศออกไปนอกประเทศที่เข้มงวดมาก ทำให้บริษัทภายในจีนมีข้อได้เปรียบในการใช้ข้อมูลและทำธุรกิจมากกว่า
ในปัจจุบัน จีนยังไม่ได้ประกาศเป้าหมายและการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจสำหรับปีนี้ แต่ตั้งกำหนดการณ์ไว้ว่าจะเผยตัวเลขดังกล่าวในการประชุมสภาประจำปีในช่วงต้นเดือนมีนาคม นักวิเคราะห์มองว่ารัฐบาลจีนจะตั้งเป้าหมายการเติบโตจีดีพีไว้ในระดับเดิมคือ 5%
ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจยังจะสามารถโตได้ตามเป้าของรัฐบาลในปีนี้ หลายแบงก์ใหญ่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะเติบโตลดลงในปี 2024 เพราะวิกฤตหนี้และวิกฤตความเชื่อมั่นในภาคอสังหาริมทรัพย์จะยังคงกดดันเศรษฐกิจ และการบริโภคภายในประเทศยังต่ำ อีกทั้งการเติบโตในปี 2023 ยังเกิดจากการที่ฐานในปี 2022 ต่ำ ทำให้เศรษฐกิจจีนน่าจะเติบโตเพิ่มได้ยากในปีนี้
จากการรายงานของ CNBC นักวิเคราะห์จาก 5 แบงก์ใหญ่ของสหรัฐฯ คือ Goldman Sachs, UBS, Citi, JP Morgan และ Morgan Stanley มองว่าเศรษฐกิจจีนในปี 2024 จะเติบโตลดลงทั้งหมด โดยคาดว่าจะลดลงเหลือเฉลี่ย 4.6% ขณะที่ JP Morgan ประเมินไว้สูงสุดที่ 4.9% และ Morgan Stanley ประเมินไว้ต่ำสุดที่ 4.2%
Haibin Zhu หัวหน้าทีมนักวิเคราะห์เศรษฐกิจจีนจาก JP Morgan กล่าวในรายงานว่า ในปี 2024 รัฐบาลจีนมีภารกิจสำคัญในการจัดการความเสี่ยงภายในประเทศ ทั้งปัญหาในภาคอสังหาฯ และผลกระทบของภาคอสังหาฯ ที่จะลามไปถึงภาคส่วนอื่นๆ ในเศรษฐกิจ และมองว่าดีมานด์สำหรับสินค้าอื่นๆ ในประเทศจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยให้กับรายได้ที่สูญเสียในไปภาคอสังหาฯ และดันให้เศรษฐกิจเติบโตได้มากเท่าที่ควร
ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs มองว่าจีนต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับมหภาคออกมามากกว่านี้ในปี 2024 เพื่อคงระดับการเติบโตของจีดีพีไม่ให้ตกต่ำลงมากเกินไป
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จาก UBS มองว่าจีนยังมีหวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจและกระตุ้นการบริโภคในประเทศ จากการที่คนงานจะย้ายจากชนบทเข้าไปทำงานในเมือง รวมไปถึงการที่จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในภาคการผลิต ภาคการบริการ และธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูง
ที่มา: CNBC, The Japan Times, Reuters