ตลาดกาแฟไทยกำลังเฟื่องฟู! มูลค่าตลาดพุ่งทะยานกว่า 3.4 หมื่นล้านบาทในปี 2566 สะท้อนความต้องการที่หลากหลายของคอกาแฟชาวไทย ทั้งกาแฟสดรสชาติเยี่ยมที่เสิร์ฟในร้านบรรยากาศดี ไปจนถึงกาแฟสำเร็จรูปและกาแฟพร้อมดื่มที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่เร่งรีบ แต่ในขณะที่ตลาดภายในประเทศคึกคัก การส่งออกกาแฟของไทยก็ไม่น้อยหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกาแฟสำเร็จรูปที่มูลค่าส่งออกเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตลาดกาแฟไทยยังคงเติบโตอย่างร้อนแรง โดยในปี 2566 มีมูลค่าตลาดรวมสูงถึง 34,470.3 ล้านบาท เติบโตขึ้น 7.34% เมื่อเทียบกับปี 2565 (ปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 9.78) ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจาก Euromonitor International ที่ระบุว่า ตลาดกาแฟไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 8.55% ต่อปี ตลอดช่วงปี 2564-2566 การเติบโตนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นของกาแฟในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย แต่ยังบ่งชี้ถึงศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจในตลาดนี้
ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตนี้มาจากความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องการกาแฟเพื่อเพิ่มความสดชื่นในการทำงาน ซึ่งกาแฟสำเร็จรูปและกาแฟ RTD ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบของพวกเขาได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ สภาพอากาศร้อนของประเทศไทยยังส่งเสริมการบริโภคกาแฟเย็นและเครื่องดื่มประเภท Ready-to-Drink (RTD) ซึ่งผู้ประกอบการหลายรายได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการนี้ เช่น กาแฟ RTD รสชาติใหม่ๆ ที่มีส่วนผสมของผลไม้หรือน้ำผลไม้ หรือการนำเสนอรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่สะดวกต่อการพกพา
นอกจากนี้ ความนิยมในการดื่มกาแฟสดก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับรสชาติและบรรยากาศการดื่มกาแฟในร้านกาแฟ ร้านกาแฟหลายแห่งได้พัฒนาเมนูใหม่ๆ ที่มีรสชาติและส่วนผสมที่หลากหลาย รวมถึงการสร้างประสบการณ์การดื่มกาแฟที่แตกต่าง เช่น การจัดเวิร์กช็อปสอนชงกาแฟ การจัดกิจกรรมพิเศษ หรือการตกแต่งร้านให้มีบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ดึงดูดลูกค้าและส่งเสริมการเติบโตของตลาดกาแฟสด
อย่างไรก็ตาม กาแฟสำเร็จรูปยังคงเป็นผู้นำตลาด ด้วยส่วนแบ่งสูงถึง 84% และมูลค่าตลาด 28,951.3 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย ราคาที่เข้าถึงได้ และความคุ้นเคยกับรสชาติของกาแฟสำเร็จรูป อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในตลาดนี้ก็ต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค เช่น การพัฒนารสชาติใหม่ๆ หรือการนำเสนอรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น
ในปี 2566 ไทยมีผลผลิตกาแฟรวม 16,575 ตัน โดยแบ่งเป็นกาแฟพันธุ์อาราบิก้า 48.2% และโรบัสต้า 51.8% ขณะเดียวกัน การนำเข้ากาแฟก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าสูงถึง 338.42 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12.90% จากปี 2565 โดยกาแฟดิบมีสัดส่วนการนำเข้ามากที่สุด คิดเป็นมูลค่า 184.76 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นการนำเข้า ดังนี้
ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 (มกราคม-มีนาคม) ไทยยังคงนำเข้ากาแฟอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นมูลค่า 76.3 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยกาแฟสำเร็จรูปเป็นสินค้าที่มีการนำเข้ามากที่สุดในช่วงเวลานี้
นอกจากนี้ การส่งออกกาแฟของไทยก็เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยในปี 2566 มีมูลค่าการส่งออกรวม 125.89 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 15.59% จากปี 2565 โดยกาแฟสำเร็จรูปเป็นสินค้าส่งออกหลัก คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 120.95 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 การส่งออกกาแฟยังคงเติบโต โดยมีมูลค่ารวม 34.18 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,237 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 15.59 เมื่อเทียบกับปี 2565 (108.92 ล้านเหรียญสหรัฐ) แบ่งเป็นการส่งออก
สำหรับในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – มี.ค.) ไทยมีมูลค่าการส่งออกกาแฟ 34.18 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น
ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของไทยในการแปรรูปกาแฟ โดยนำเข้ากาแฟดิบเพื่อผลิตเป็นกาแฟสำเร็จรูปส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกัมพูชา สปป.ลาว และฟิลิปปินส์ ในขณะเดียวกัน ไทยก็นำเข้าเมล็ดกาแฟดิบจากเวียดนาม อินโดนีเซีย และ สปป.ลาว เป็นหลัก
ตลาดกาแฟไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ทั้งในแง่ของการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งศักยภาพในการแปรรูปกาแฟดิบเป็นกาแฟสำเร็จรูป ซึ่งเป็นจุดแข็งที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์กาแฟไทย ตัวอย่างเช่น การนำเข้าเมล็ดกาแฟดิบจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ลาว และอินโดนีเซีย มาแปรรูปเป็นกาแฟสำเร็จรูปหลากหลายรูปแบบ ทั้งกาแฟ 3 in 1, กาแฟดำ, กาแฟปรุงสำเร็จพร้อมดื่ม หรือแม้กระทั่งกาแฟแคปซูล ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกกาแฟสำเร็จรูปของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสุขภาพและความยั่งยืนมากขึ้น เช่น กาแฟออร์แกนิค กาแฟที่ปลูกในระบบ Fair Trade หรือกาแฟที่ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ผู้ผลิตและผู้ประกอบการไทยจึงต้องปรับตัวให้เท่าทันความต้องการของตลาด โดยนำเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อพัฒนากาแฟที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ และสอดคล้องกับมาตรฐานการค้าโลกที่เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เช่น การใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต ลดการใช้สารเคมี หรือการนำบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้มาใช้
การปรับตัวดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าในตลาดโลกอีกด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การเปิดประตูสู่ตลาดส่งออกใหม่ๆ และคว้าโอกาสในการเติบโตในตลาดกาแฟโลกที่มีศักยภาพอีกมหาศาล โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม