กกร. ออกโรงแสดงความกังวลต่อเศรษฐกิจไทยปี 2567 ที่ยังคงเปราะบางและเสี่ยงต่อการเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ โดยชี้ให้เห็นถึงสัญญาณอันตรายจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ชะลอตัวลง ทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์ และการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ พร้อมเสนอมาตรการเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงประสิทธิภาพ รวมถึงการออกมาตรการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมอย่างตรงจุด
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และประธานการประชุม กกร. เปิดเผยว่า แม้การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐจะเริ่มนำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น จนทำให้การใช้จ่ายของรัฐขยายตัวสูงกว่า 15% ในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2567 แต่อุปสงค์ภายในประเทศกลับชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด โดยยอดโอนอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 5 เดือนแรกของปี (ม.ค.-พ.ค. 67) หดตัว -8.8% และยอดจำหน่ายรถยนต์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี (ม.ค.-มิ.ย. 67) หดตัว -24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ การส่งออกยังคงขยายตัวได้น้อย ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ แม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะเริ่มฟื้นตัว
เพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว กกร. เสนอให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงเวลาที่เหลือของปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระตุ้นกิจกรรมก่อสร้างภาครัฐ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมภาคเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องและการจ้างงานให้ฟื้นตัว รวมถึงการเติมสภาพคล่องในระบบเพื่อสนับสนุนกำลังซื้อ นอกจากนี้ กกร. ยังเสนอให้ภาครัฐนำเทคโนโลยี เช่น Block Chain มาพัฒนากระบวนการจัดซื้อจัดจ้างออนไลน์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน
อย่างไรก็ตาม กกร. ยังคงประมาณการเศรษฐกิจในปี 2567 ไว้เท่าเดิม โดยคาดว่า GDP จะเติบโตได้ 2.2-2.7% การส่งออกจะขยายตัว 0.8-1.5% และอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้น 0.5-1.0%
นายผยง ศรีวณิช ประธาน กกร. แสดงความกังวลต่อการขาดดุลการค้าระหว่างไทย-จีนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-มิ.ย.) ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 19,967 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 15.66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการนำเข้าสินค้าจากจีนที่เพิ่มขึ้น 7.12% คิดเป็นมูลค่ากว่า 37,569 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตของไทยกว่า 23 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจีนที่ขายสินค้าราคาถูกโดยตรงจากโรงงาน ทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบทั้งด้านราคาและต้นทุนการผลิต เพื่อแก้ไขปัญหานี้ กกร. เสนอให้รัฐบาลดำเนินมาตรการเข้มงวดในการตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้า กำกับดูแลและควบคุมสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษี รวมถึงบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าภายในประเทศอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและยั่งยืนของผู้ประกอบการไทย
นอกจากนี้ กกร. ยังสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน (TCCBS) โดยความร่วมมือระหว่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย-จีน และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหาและส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศภายใต้กรอบกฎหมายและกติกาสากล และในขณะเดียวกัน กกร. ยังแสดงความกังวลต่อสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่ยังคงน่าเป็นห่วง โดยตัวเลขหนี้เสีย (NPL) ที่รายงานโดยเครดิตบูโรในเดือนพฤษภาคม 2567 สูงถึง 1.14 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการฟื้นตัวของรายได้ยังไม่ทั่วถึง
ที่ประชุม กกร. แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ภาคการผลิตที่หดตัวลง แม้ว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 จะมีโรงงานเปิดใหม่กว่า 1,009 แห่ง เพิ่มขึ้น 122.67% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากต่างชาติผ่าน BOI แต่ขณะเดียวกันก็มีโรงงานปิดตัวลงกว่า 667 แห่ง เพิ่มขึ้น 86.31% หรือเฉลี่ย 111 แห่งต่อเดือน โดยส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็กและ SMEs ที่มีเงินทุนเฉลี่ย 27.12 ล้านบาทต่อโรงงาน
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ กกร. เสนอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมรายสาขา โดยเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เช่น
นอกจากนี้ กกร. ยังเห็นด้วยกับภาครัฐว่าประเทศไทยจำเป็นต้องเพิ่มการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยเสนอให้รัฐบาลออกมาตรการสนับสนุนทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในด้านต่างๆ เช่น
พร้อมกันนี้ กกร. ยังเสนอให้รัฐบาลปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบเพื่อลดอุปสรรคในการทำธุรกิจ (Ease of doing business) และพัฒนาความพร้อมด้านทรัพยากรบุคคล เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
กกร. ย้ำถึงความจำเป็นในการดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญ ทั้งการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม และการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพในระยะยาว