ส่งออกไทยเดือนสิงหาคมกลับมาคึกคัก! ตัวเลขส่งออกพุ่ง 7% ทำให้เกินดุลการค้าเป็นครั้งแรกในรอบปี สินค้าเกษตรนำทัพ ข้าว-ยางพารา โกยรายได้เข้าประเทศ ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมก็ไม่น้อยหน้า รถยนต์-คอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยังคงเป็นดาวเด่น แม้ภาพรวม 8 เดือนแรกยังคงขาดดุล แต่แนวโน้มปี 2567 ยังคงสดใส กระทรวงพาณิชย์มั่นใจ พร้อมเดินหน้าส่งเสริมการส่งออกเต็มที่
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ได้แถลงข่าวในวันนี้ (25 กันยายน 2567) ถึงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยประจำเดือนสิงหาคม 2567 โดยระบุว่า การส่งออกของไทยในเดือนสิงหาคมมีมูลค่า 26,182.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 939,521 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวที่น่าพอใจในอัตราร้อยละ 7.0
การเติบโตครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าเกิดขึ้นในทุกหมวดสินค้า โดยมีสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก นอกจากนี้ สินค้าอุตสาหกรรมก็มีการขยายตัวในทิศทางบวกเช่นกัน ปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญมาจากสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนในหลายประเทศ และการฟื้นตัวของภาคบริการในตลาดสำคัญ ซึ่งส่งผลให้ความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารจากไทยเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหภาพยุโรปจากภาวะเงินเฟ้อก็เป็นปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและความต้องการสินค้าไทย
อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยคือ ค่าระวางเรือที่ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะเส้นทางสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งช่วยลดต้นทุนของผู้ส่งออกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคา และเมื่อพิจารณาภาพรวม 8 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกของไทยขยายตัวร้อยละ 4.2 และหากไม่รวมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย การส่งออกยังคงเติบโตในระดับที่น่าพอใจที่ร้อยละ 4.3
ในเดือนสิงหาคม 2567 การค้าระหว่างประเทศของไทยแสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่น่าพอใจ โดยมีมูลค่าการส่งออก 26,182.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 939,521 ล้านบาท ซึ่งขยายตัว 7.0% และ 13.0% ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในขณะเดียวกัน มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 25,917.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 941,019 ล้านบาท ซึ่งขยายตัว 8.9% และ 15.0% ตามลำดับ ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนสิงหาคมเกินดุล 264.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ขาดดุล 1,497 ล้านบาทเมื่อคิดเป็นเงินบาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาภาพรวม 8 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม - สิงหาคม) พบว่าการส่งออกมีมูลค่า 197,192.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 7,068,821 ล้านบาท ซึ่งขยายตัว 4.2% และ 9.9% ตามลำดับ ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 203,543.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 7,378,253 ล้านบาท ขยายตัว 5.0% และ 10.5% ตามลำดับ ทำให้ดุลการค้า 8 เดือนแรกขาดดุล 6,351.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 309,432 ล้านบาท
สรุปได้ว่า แม้ในเดือนสิงหาคม 2567 การส่งออกของไทยจะแสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งกว่าการนำเข้า แต่ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 ยังคงเผชิญกับภาวะขาดดุล เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าที่สูงกว่าการส่งออกอย่างต่อเนื่อง
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีมูลค่าการส่งออกขยายตัวถึง 17.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรต่างมีส่วนร่วมในการเติบโตครั้งนี้ โดยขยายตัว 17.5% และ 17.1% ตามลำดับ
สินค้าเกษตรที่โดดเด่น ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ซึ่งกลับมาเติบโตอีกครั้งในรอบ 3 เดือน โดยขยายตัว 1.0% โดยเฉพาะในตลาดเวียดนาม อินโดนีเซีย สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ข้าวก็เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยขยายตัวถึง 46.6% โดยเฉพาะในตลาดอิรัก สหรัฐฯ แอฟริกาใต้ เบนิน และเซเนกัล ยางพาราก็ยังคงเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 โดยขยายตัว 64.8% ในตลาดจีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย และมาเลเซีย
ในส่วนของสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยเติบโต 20.5% โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ ออสเตรเลีย ซาอุดิอาระเบีย แอฟริกาใต้ และลิเบีย อาหารสัตว์เลี้ยงก็เติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 โดยขยายตัว 25.0% ในตลาดสหรัฐฯ ออสเตรเลีย อิตาลี มาเลเซีย และอินโดนีเซีย และไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ก็เติบโตอย่างโดดเด่น โดยขยายตัวถึง 233.6% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ในตลาดอินเดีย เมียนมา มาเลเซีย จีน และเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าบางรายการที่หดตัว เช่น ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 โดยลดลง 11.5% น้ำตาลทรายก็หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 โดยลดลง 14.2% ไก่สด แช่เย็น แช่แข็งกลับมาหดตัว 0.7% หลังจากที่เคยเติบโตในเดือนก่อนหน้า และผักกระป๋องและผักแปรรูปก็หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 โดยลดลง 10.8%
ภาพรวมในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรยังคงเติบโตได้ดี โดยขยายตัว 5.6% สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความแข็งแกร่งของภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยในตลาดโลก
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมมีการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยขยายตัว 5.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สินค้าที่โดดเด่น ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ที่กลับมาเติบโต 0.4% หลังจากที่หดตัวในเดือนก่อนหน้า โดยมีตลาดสำคัญคือ ญี่ปุ่น เวียดนาม สหรัฐฯ เม็กซิโก และซาอุดีอาระเบีย นอกจากนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ก็ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 โดยเติบโตถึง 74.7% โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ จีน เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และสิงคโปร์
สินค้าอื่นๆ ที่มีการเติบโต ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยางที่ขยายตัว 14.9% เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยมีตลาดหลักคือ สหรัฐฯ จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย เครื่องจักรกลและส่วนประกอบก็ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 โดยเติบโต 23.1% โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ อินโดนีเซีย จีน สหราชอาณาจักร และอินเดีย เคมีภัณฑ์ก็เติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เช่นกัน โดยขยายตัว 12.5% โดยมีตลาดสำคัญคือ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เวียดนาม และอินโดนีเซีย และสุดท้าย เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยขยายตัว 19.8% เป็นเดือนที่ 15 ติดต่อกัน โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ และสาธารณรัฐเช็ก
อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าบางประเภทที่หดตัว เช่น เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ ที่หดตัว 11.2% เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยหดตัวในตลาดแอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ จีน และบราซิล แต่ขยายตัวในตลาดอินเดีย อินโดนีเซีย อาร์เจนตินา มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ แผงวงจรไฟฟ้าก็หดตัว 33.2% เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน โดยหดตัวในตลาดสิงคโปร์ ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน และสหรัฐฯ แต่ขยายตัวในตลาดฮ่องกง มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ลาว และบราซิล และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ก็หดตัว 34.3% เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน โดยหดตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน สิงคโปร์ อินเดีย และอินโดนีเซีย แต่ขยายตัวในตลาดฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสาธารณรัฐเช็ก โดยภาพรวม ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวได้ดี โดยเติบโต 4.0%
ภาพรวมการส่งออกของไทยไปยังตลาดสำคัญทั่วโลกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกหลังจากที่แรงกดดันจากเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยเริ่มคลี่คลายลง
ตลาดหลัก ขยายตัว 5.7% โดยมีการเติบโตเด่นชัดในสหรัฐฯ (3.0%), จีน (6.7%), สหภาพยุโรป (27) (26.4%), อาเซียน (5) (4.5%), และ CLMV (13.7%) ตลาดญี่ปุ่นยังคงหดตัวที่ 11.3%
ตลาดรอง ขยายตัว 7.9% โดยเติบโตโดดเด่นในเอเชียใต้ (22.8%), ตะวันออกกลาง (34.6%), แอฟริกา (20.3%), ลาตินอเมริกา (19.1%), รัสเซียและกลุ่ม CIS (9.3%), และสหราชอาณาจักร (2.6%) มีเพียงตลาดออสเตรเลียที่หดตัว 14.0%
ตลาดอื่น ๆ ขยายตัวอย่างก้าวกระโดดที่ 106.8%
สรุปสถานการณ์ตลาดสำคัญ
เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของแต่ละตลาด จะเห็นได้ว่าสินค้าส่งออกที่สำคัญมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านการเติบโตและการหดตัว ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐฯ เครื่องคอมพิวเตอร์และผลิตภัณฑ์ยางมีการเติบโต ในขณะที่อุปกรณ์กึ่งตัวนำและหม้อแปลงไฟฟ้าหดตัว ในทำนองเดียวกัน ในจีน ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องคอมพิวเตอร์ และเคมีภัณฑ์ขยายตัว ในขณะที่ผลไม้และเม็ดพลาสติกหดตัว
โดยรวม แม้ว่าจะมีความท้าทายในบางตลาด แต่ภาพรวมการส่งออกของไทยยังคงเป็นไปในทิศทางบวก การเติบโตในตลาดหลักและตลาดรองหลายแห่งบ่งชี้ถึงความสามารถในการปรับตัวและความแข็งแกร่งของภาคส่งออกของไทย อย่างไรก็ตาม การติดตามสถานการณ์ในตลาดต่างๆ อย่างใกล้ชิดและการปรับกลยุทธ์ทางการค้าให้เหมาะสมยังคงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาโมเมนตัมการเติบโตนี้ต่อไป
ในเดือนสิงหาคม กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกหลายประการเพื่อส่งเสริมการส่งออกของประเทศไทย:
กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่าการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปี 2567 จะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญหลายประการ ได้แก่
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในระยะต่อไป ได้แก่
กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการติดตามสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกไทย เพื่อให้มั่นใจว่าการส่งออกจะยังคงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไป
การส่งออกของไทยในเดือนสิงหาคม 2567 เป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเศรษฐกิจไทยในการฟื้นตัว แม้ว่าภาพรวม 8 เดือนแรกจะยังคงขาดดุลอยู่ แต่การเติบโตที่แข็งแกร่งในเดือนสิงหาคม โดยเฉพาะในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร เป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถในการปรับตัวและความแข็งแกร่งของภาคส่งออกไทย
อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ อัตราแลกเปลี่ยน และภัยธรรมชาติ ดังนั้น การติดตามสถานการณ์และการปรับตัวเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การส่งออกยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยต่อไป
ด้วยความมุ่งมั่นของกระทรวงพาณิชย์ในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการไทย และความสามารถในการปรับตัวของภาคธุรกิจไทย เชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะสามารถก้าวผ่านความท้าทายและรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน