‘จีน’ ก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจในภาคการผลิตโลกอย่างรวดเร็ว โดยได้ขยายในวงกว้างทั้งกลุ่มสินค้าที่ใช้แรงงาน และกลุ่มสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แม้เศรษฐกิจของ ‘สหรัฐอเมริกา’ จะมีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่สำหรับภาคการผลิต กลับพบว่ามีขนาดที่เล็กกว่าจีนมากกว่าครึ่ง
นับตั้งแต่ปี 2001 ที่ประเทศจีนเข้าร่วมองค์กรการค้าโลก (World Trade Organization หรือ WTO) ทำให้ปัจจุบัน จีนก้าวขึ้นมาเป็น ‘โรงงานโลก’ โดยวัดได้จากจำนวนการผลิต (Gross Production) ที่มีสัดส่วน 35% ของโลก และมูลค่าเพิ่มการผลิต (Value Added) ที่ 29% ของสัดส่วนโลก ทำให้จีนมีภาคการผลิตมีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว
อย่างไรก็ตาม ‘KKP Research’ ประเมินว่า นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัจจัยในหลายด้านเร่งให้สินค้าจากจีนสามารถเข้ามาในไทยได้เร็วมากขึ้น โดยสามารถแบ่งออกเป็น ‘2 ปัจจัยผลักจากจีน’ (Push factors) และ ‘4 ปัจจัยดึงจากไทย’ (Pull factors)
โดย ‘ไทย’ ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ มีสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงที่มาจากการ ส่งสินค้าข้ามประเทศ ซึ่งมีขนาดประมาณ 23.5% ของมูลค่าองอีคอมเมิร์ซทั้งหมด ในขณะที่ ‘อินโดนีเซีย’ มีสัดส่วนที่น้อยกว่าไทยเล็กน้อยที่ 21.6% จากข้อมูลของ BofA
ทำให้การบริโภคในประเทศ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวแย่ลง รัฐบาลจีนจึงจำเป็นต้องผลักดันภาคการผลิตและการส่งออก ให้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจ โดยใช้กลยุทธ์ในการส่งออกสินค้าคงคลังที่ผลิตเหลือ รวมถึงกำลังการผลิตที่มีเหลืออยู่ในจีนมาไปประเทศต่างๆ ในโลก
ทั้งนี้ ปัจจัยทั้งหมดส่งผลให้ไทยเป็นหนึ่งใน ‘เป้าหมาย’ การส่งออกสินค้าจากจีน และแม้ว่าหลายประเทศจะมีการขาดดุลการค้ากับจีนที่สูงกว่าไทย แต่ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเร่งตัวของการขาดดุลการค้ากับจีนเร็วมากที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งเกิดจากทั้งการนำเข้ามาเพื่อบริโภคในประเทศเอง และการนำเข้าเพื่อส่งออกสินค้าต่อไปยังต่างประเทศ
ที่มา KKP Research