หลังยุคโควิด-19 โลกได้กลับมาเปิดกว้างอีกครั้ง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกต่างเร่งฟื้นตัว ประเทศต่างๆ เปิดประตูต้อนรับนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก ทว่าเส้นทางการฟื้นตัวของแต่ละประเทศกลับแตกต่างกัน ญี่ปุ่นและจีน สองมหาอำนาจแห่งเอเชีย ต่างประกาศเปิดประเทศในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน แต่กลับพบกับชะตากรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ญี่ปุ่นกลับมาผงาดอย่างยิ่งใหญ่ นักท่องเที่ยวแห่แหนกันไปสัมผัสเสน่ห์แห่งดินแดนอาทิตย์อุทัย ขณะที่จีนยังคงซบเซา นักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่กลับมาคึกคักดังเดิม
อะไรคือปัจจัยที่ทำให้เกิดความแตกต่างนี้? บทความนี้จะพาคุณไปเปรียบเทียบเส้นทางการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นและจีน พร้อมบทเรียนที่น่าสนใจ เพื่อไขปริศนาความสำเร็จและความล้มเหลว บนเส้นทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลก
ญี่ปุ่นก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำอันดับต้นๆด้านการท่องเที่ยวโลก ด้วยการครองอันดับสูงสุดในหลาย ๆ การจัดอันดับ "สถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุด" และมีแนวโน้มว่าจะต้อนรับนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาล ทำลายสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 ในทางตรงกันข้าม จีนกลับเผชิญกับสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน โดยภาคการท่องเที่ยวของจีนยังคงฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศยังไม่กลับมาในจำนวนที่น่าพอใจ
ทั้งที่ทั้งสองประเทศต่างประกาศยกเลิกมาตรการควบคุมพรมแดนอันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน ญี่ปุ่นในเดือนตุลาคม 2022 และจีนในเดือนมกราคม 2023 แต่เส้นทางการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับความท้าทายจาก "ภาวะนักท่องเที่ยวล้นเมือง" นับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ญี่ปุ่นมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 3 ล้านคนต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าสถิติในปี 2019 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นที่นิยมอย่างมาก นอกจากความโดดเด่นด้านวัฒนธรรมแล้ว ยังเป็นผลมาจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งมุ่งเน้นการยกระดับประสบการณ์และอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนญี่ปุ่นที่อ่อนค่าลง โดยอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐต่อเงินเยนญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นจาก 140 เยนในเดือนมกราคม 2024 เป็น 160 เยนในเดือนกรกฎาคม 2024 ส่งผลให้ญี่ปุ่นเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจยิ่งขึ้นในด้านราคา
"รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการผลักดันให้ญี่ปุ่นเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำมาอย่างยาวนาน ด้วยการยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวและลดความยุ่งยากในการเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ" เขากล่าว
ยิ่งไปกว่านั้น การอ่อนค่าของเงินเยนยิ่งเป็นตัวเร่งกระแสนี้
"อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐต่อเงินเยนญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นจากประมาณ 140 เยนในเดือนมกราคม 2024 เป็น 160 เยนในเดือนกรกฎาคม 2024 ทำให้การท่องเที่ยวญี่ปุ่นมีราคาถูกลง" Chakraborty กล่าวเสริม
ภาวะนักท่องเที่ยวล้นเมืองในญี่ปุ่นส่งผลกระทบต่อสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น วัดวาอารามในเกียวโต และเกิดความแออัดในช่วงฤดูท่องเที่ยวสูงสุด นอกจากนี้ ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการยังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยสหภาพแรงงานด้านบริการและการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่นรายงานว่า 85% ของผู้ประกอบการต้องจำกัดเวลาทำการเนื่องจากปัญหาขาดแคลนแรงงานในปีนี้
จากข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติจีนชี้ให้เห็นถึงอุปสงค์การเดินทางเข้าประเทศจีนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงเดือนมกราคมถึงกรกฎาคมปีนี้ เพิ่มขึ้น 130% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับรายงานจาก Trip.com ที่ระบุว่า ยอดจองการเดินทางเข้าประเทศจีนในช่วงฤดูร้อนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 โดยในปี 2019 จีนมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 49.1 ล้านคน ขณะที่ข้อมูลล่าสุด ณ เดือนกรกฎาคมปีนี้ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ 17.25 ล้านคน
ถึงแม้ว่าประเทศจีนจะเปิดพรมแดนต้อนรับนักท่องเที่ยวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ภาคการท่องเที่ยวของจีนยังคงเผชิญกับความท้าทายในการฟื้นตัวสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาด โดยมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ส่งผลต่อแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศจีน ดังนี้
1.ข้อจำกัดด้านการเดินทางทางอากาศ
2. บรรยากาศทางภูมิรัฐศาสตร์
3. มุมมองต่อประเทศจีน
4. ความแตกต่างทางภูมิภาค
จากปัจจัยข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวจีนยังคงต้องอาศัยระยะเวลา และความพยายามในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นในระดับนานาชาติ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับมาเยือนประเทศจีนอีกครั้ง
แม้ว่าประเทศจีนจะเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวหลังวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ภาคการท่องเที่ยวยังคงเผชิญกับความท้าทายในการฟื้นตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาอุปสรรคในการเดินทางและการใช้ชีวิตภายในประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
นับตั้งแต่ช่วงหลังการระบาด ประเทศจีนได้มุ่งเน้นการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล ส่งผลให้ระบบการชำระเงินและการจองบริการต่างๆ ถูกย้ายขึ้นสู่ระบบออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่คุ้นเคยกับการใช้งานแอปพลิเคชันยอดนิยมของจีน
ศาสตราจารย์ซ่งซาน หวง แห่งมหาวิทยาลัยอีดิธ โคแวน ประเทศออสเตรเลีย ได้นำเสนอบทความวิชาการใน East Asia Forum ซึ่งระบุถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ในบทความดังกล่าว ศาสตราจารย์หวง ได้อธิบายถึงข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการต่างๆ เช่น การจองตั๋วรถไฟความเร็วสูง หรือบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการผ่านโปรแกรมย่อยในแอปพลิเคชัน WeChat นอกจากนี้ ร้านค้าและสถานประกอบการจำนวนมากยังรับชำระเงินผ่าน WeChat Pay หรือ Alipay เท่านั้น ส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิตเป็นหลัก ประสบปัญหาในการทำธุรกรรมต่างๆ
จากสถานการณ์ข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า แม้การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดจะอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนชาวจีน แต่กลับเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศ และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ขัดขวางการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ดังนั้น การปรับปรุงระบบและพัฒนามาตรการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จึงเป็นภารกิจสำคัญของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
จากการวิเคราะห์สถานการณ์ จะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นและจีนกำลังดำเนินไปในทิศทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ขณะที่ญี่ปุ่นก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำ จีนกลับเผชิญกับความท้าทายในการฟื้นตัว
ปัจจัยแห่งความสำเร็จของญี่ปุ่นประกอบด้วย เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงรุก และอัตราแลกเปลี่ยนที่เอื้อต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างไรก็ดี ความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วนำมาซึ่งปัญหาการบริหารจัดการ เช่น ภาวะนักท่องเที่ยวล้นเมืองและการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลญี่ปุ่นจำเป็นต้องเร่งแก้ไข
ในทางตรงกันข้าม ประเทศจีนยังคงต้องพัฒนาปัจจัยพื้นฐานหลายประการ เช่น การปรับปรุงภาพลักษณ์ประเทศ การอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวในการเข้าถึงบริการ และการสร้างความเชื่อมั่นในระดับนานาชาติ แม้ว่าจีนจะมีศักยภาพสูง แต่การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวยังคงต้องอาศัยเวลาและความพยายามในการปรับตัว
ทั้งนี้ การแข่งขันในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระดับโลกมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น ประเทศต่างๆ จำเป็นต้องพัฒนาจุดแข็ง เสริมจุดอ่อน และสร้างความแตกต่าง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ที่มา cnbc