เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กำลังแสดงสัญญาณชะลอตัวอย่างน่าเป็นห่วง ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่หดตัวต่อเนื่องยาวนานกว่าหนึ่งปี บวกกับจำนวนโรงงานที่ปิดกิจการพุ่งสูงขึ้น สวนทางกับจำนวนโรงงานเปิดใหม่ที่ลดลง เป็นเครื่องยืนยันถึงภาวะถดถอยที่ไม่อาจมองข้ามได้
สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งน่ากังวลมากขึ้น เมื่อพบว่าโรงงานที่ปิดตัวลงส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดใหญ่ ขณะที่โรงงานเปิดใหม่ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็ก สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในภาคอุตสาหกรรมไทย ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาเฉพาะหน้าของแต่ละกิจการเท่านั้น บทความนี้จะพาผู้อ่านเจาะลึกสถานการณ์ปัจจุบันของภาคอุตสาหกรรมไทย วิเคราะห์สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโต ตลอดจนนำเสนอแนวทางแก้ไขและปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายครั้งสำคัญนี้
ข้อมูลจาก KKP Research พบว่า เศรษฐกิจไทยเผชิญสัญญาณชะลอตัวอย่างชัดเจน โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องยาวนานกว่า 1 ปี นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 ถึงมีนาคม 2567 ถือเป็นการหดตัวที่ยาวนานที่สุดครั้งหนึ่ง แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงปลายปี 2566
นอกจากนี้ สถานการณ์การปิดกิจการในภาคอุตสาหกรรมยังคงน่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ซึ่งมีโรงงานปิดตัวลงเฉลี่ย 159 แห่งต่อเดือน สูงกว่าค่าเฉลี่ย 57 แห่งต่อเดือนในปี 2564 และ 83 แห่งต่อเดือนในปี 2565 นับตั้งแต่ต้นปี 2566 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2567 มีโรงงานปิดตัวลงไปแล้วกว่า 1,700 แห่ง ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานกว่า 42,000 ตำแหน่ง
ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยพบว่าไม่เพียงแต่จำนวนโรงงานที่ปิดกิจการเพิ่มขึ้น แต่จำนวนโรงงานที่เปิดดำเนินการใหม่กลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ยอดเปิดโรงงานสุทธิ (จำนวนโรงงานเปิดหักลบด้วยโรงงานปิด) ปรับตัวลดลงจากค่าเฉลี่ย 150 แห่งต่อเดือน เหลือเพียง 50 แห่งต่อเดือน ซึ่งสะท้อนถึงภาวะถดถอยของภาคอุตสาหกรรมโดยรวม
นอกจากนี้ สถานการณ์การเปิดและปิดกิจการของโรงงานยังมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่เผชิญกับการปิดกิจการที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มักเป็นกลุ่มเดียวกับที่ดัชนีผลผลิตหดตัวลง เช่น อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องหนัง ยาง อุตสาหกรรมการเกษตร ไม้ และเครื่องจักร ซึ่งบ่งชี้ถึงความเปราะบางและความท้าทายที่แตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มธุรกิจ
สถานการณ์ภาคอุตสาหกรรมไทยส่งสัญญาณน่ากังวลอย่างยิ่ง เมื่อพบว่าการปิดกิจการของโรงงานส่วนใหญ่มักเป็นโรงงานขนาดใหญ่ ขณะที่โรงงานที่เปิดดำเนินการใหม่ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็ก ซึ่งบ่งชี้ว่าปัญหาการผลิตที่ชะลอตัวลงนั้นไม่ได้เกิดจากปัจจัยเฉพาะของกิจการเอง แต่เป็นผลกระทบจากปัจจัยเชิงโครงสร้างในภาพรวมที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทั้งหมด เนื่องจากโรงงานขนาดเล็กมักมีความเปราะบางทางการเงินมากกว่าโรงงานขนาดใหญ่ การปิดกิจการของโรงงานขนาดใหญ่จึงเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุนแรง
นอกจากนี้ สถานการณ์หนี้เสียในภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องยังตอกย้ำถึงความน่ากังวลดังกล่าว โดยพบว่าอุตสาหกรรมที่มีการปิดกิจการจำนวนมากมักมีแนวโน้มที่จะมีหนี้เสียเพิ่มสูงขึ้นด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกและส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจและการชำระหนี้ของภาคอุตสาหกรรมไทย
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ โดยการหดตัวของภาคการผลิตไม่ได้เป็นผลมาจากปัจจัยชั่วคราวหรือวัฏจักรเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยเชิงโครงสร้าง อาทิ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและความสามารถในการแข่งขัน เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ส่งผลให้แม้เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว แต่ภาคการผลิตของไทยอาจไม่สามารถเติบโตตามไปได้
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ โดยการหดตัวของภาคการผลิตไม่ได้เป็นผลมาจากปัจจัยชั่วคราวหรือวัฏจักรเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยเชิงโครงสร้าง อาทิ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและความสามารถในการแข่งขัน เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ส่งผลให้แม้เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว แต่ภาคการผลิตของไทยอาจไม่สามารถเติบโตตามไปได้
KKP Research ได้จำแนกกลุ่มสินค้าในภาคการผลิตของไทยออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
ดังนั้น การติดตามแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมไทยจึงจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยเชิงโครงสร้างควบคู่ไปกับปัจจัยวัฏจักรเศรษฐกิจ เพื่อให้ได้ภาพที่ครบถ้วนและแม่นยำยิ่งขึ้น
ข้อมูลการเปิด-ปิดโรงงานในประเทศไทยสะท้อนให้เห็นถึงการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมที่พึ่งพามูลค่าเพิ่มจากภาคอุตสาหกรรมในสัดส่วนสูงถึง 35% แม้ว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมจะแสดงสัญญาณการฟื้นตัวในระยะสั้น แต่ KKP Research ประเมินว่าสถานการณ์ในระยะยาวของภาคอุตสาหกรรมไทยยังคงมีความเปราะบาง ด้วยปัจจัยหลัก 3 ประการดังนี้
ผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังทวีความรุนแรงขึ้น เห็นได้จากการยุติการผลิตของบริษัท Suzuki ในประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของ KKP Research ก่อนหน้านี้ และเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว KKP Research เสนอแนะว่าภาครัฐจำเป็นต้องเร่งดำเนินนโยบายเพื่อสนับสนุนและปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับการแสวงหาเครื่องยนต์ใหม่เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หากไม่ดำเนินการอย่างทันท่วงที เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญกับภาวะการเติบโตที่ถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง
ในมุมมองของทาง Spotlight เนื่องจากสถานการณ์ภาคอุตสาหกรรมไทยที่เผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การแข่งขันที่รุนแรงจากต่างประเทศ และปัจจัยภายในประเทศ อาจดูเหมือนเป็นอุปสรรคที่ยากจะก้าวข้าม แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันปรับตัวและแสวงหาแนวทางใหม่ๆ ภาคอุตสาหกรรมไทยก็ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตและพัฒนาต่อไปได้
การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาทักษะแรงงาน การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย และนำพาประเทศไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนจะร่วมมือกันสร้างอนาคตใหม่ให้กับอุตสาหกรรมไทย เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาค และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป