ค่าไฟฟ้าอาจปรับขึ้น! สำหรับประเด็นร้อนที่กำลังสร้างความกังวลให้กับประชาชนชาวไทย ล่าสุด กกพ. เสนอ 3 ทางเลือกปรับค่า Ft งวดสุดท้ายของปี 2567 ซึ่งอาจทำให้ค่าไฟฟ้าพุ่งสูงถึง 6.01 บาทต่อหน่วย สาเหตุหลักมาจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งค่าเงินบาทอ่อนตัวลง และราคาก๊าซธรรมชาติเหลวในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กกพ. ยืนยันว่า จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาสมดุลระหว่างค่าครองชีพของประชาชนและความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ท่ามกลางสถานการณ์ที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง และราคาก๊าซธรรมชาติเหลวในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีภาระค่าเชื้อเพลิงค้างจ่ายของ กฟผ. และส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติอีก 15,083.79 ล้านบาท ที่ต้องนำมาคำนวณด้วย ทำให้ค่าไฟฟ้าอาจต้องปรับขึ้น โดยทางเลือกที่ถูกที่สุดอยู่ที่ 4.65 บาทต่อหน่วย
ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการ กกพ. ชี้แจงว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงสูงขึ้น ประกอบด้วย ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงแตะระดับ 36.63 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำและถ่านหินที่ลดลง และราคาก๊าซธรรมชาติเหลวในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น 3.2 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู เนื่องจากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว ทั้งนี้ กกพ. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับทางเลือกในการปรับค่าไฟฟ้า 3 ทางเลือก ตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 26 กรกฎาคม 2567
สำหรับค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับงวดเดือนกันยายนถึงธันวาคม 2567 จะปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 46.83 ถึง 182.99 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.7833 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจริงอยู่ระหว่าง 4.65 ถึง 6.01 บาทต่อหน่วย ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 4.18 บาทต่อหน่วยในงวดก่อนหน้า
ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการ กกพ. กล่าวว่า "กกพ. ได้พิจารณาค่าเอฟทีและค่าไฟฟ้าในงวดนี้ด้วยความละเอียดรอบคอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนควบคู่ไปกับความจำเป็นในการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศ เพราะไฟฟ้าไม่เพียงแต่เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนของประเทศอีกด้วย เป้าหมายของเราคือการรักษาสมดุลระหว่างการดูแลค่าครองชีพและการดูแลคุณภาพ ความมั่นคง และเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ในช่วงที่ภาคพลังงานของประเทศยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างเต็มที่"
ดร.พูลพัฒน์ เผยว่า ค่าไฟฟ้างวดสุดท้ายปีนี้ปรับขึ้นเนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงหลักอย่างก๊าซธรรมชาติทั้งในอ่าวไทยและ LNG นำเข้าราคาสูงขึ้นจากเงินบาทอ่อนค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 36.63 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับต้นปีที่ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าราคา LNG Spot ในตลาดโลกจะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติที่ 10-12 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียูในช่วงกลางปีที่ผ่านมา แต่คาดว่าจะปรับขึ้นเป็น 13 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียูช่วงปลายปีนี้จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในฤดูหนาว
ขณะที่ปริมาณก๊าซในอ่าวไทยกลับมาผลิตได้ปกติเฉลี่ย 2,184 ล้านบีทียูต่อวัน แต่ก๊าซจากเมียนมาร์กลับลดลงเหลือเฉลี่ย 468 ล้านบีทียูต่อวัน ทำให้ต้องนำเข้า LNG Spot มาทดแทน ทั้งนี้ ที่ประชุม กกพ. ครั้งที่ 28/2567 รับทราบภาระต้นทุนผลิตไฟฟ้าจริง ม.ค. - เม.ย. 2567 และเห็นชอบผลคำนวณประมาณค่าเอฟทีสำหรับ ก.ย. - ธ.ค. 2567 โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 12 – 26 กรกฎาคม 2567 ก่อนประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป อาทิ
ผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่า Ft (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างทั้งหมด) ค่า Ft ขายปลีกเท่ากับ 222.71 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะเป็นการเรียกเก็บตามผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่า Ft ที่สะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือนกันยายน – ธันวาคม 2567 จำนวน 34.30 สตางค์ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. จำนวน 98,495 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 163.39 สตางค์ต่อหน่วย) และมูลค่า AFGAS จำนวน 15,083.79 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 25.02 สตางค์ต่อหน่วย) รวมทั้งสิ้นจำนวน 188.41 สตางค์ต่อหน่วย
โดย กฟผ. จะได้รับเงินที่รับภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าแทนประชาชนตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 - เมษายน 2567 ในช่วงสภาวะวิกฤตของราคาพลังงานที่ผ่านมา คืนทั้งหมดภายในเดือนธันวาคม 2567 เพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้มีสถานะทางการเงินคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ จะได้รับเงินคืนส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าคืนทั้งหมด ซึ่งเมื่อรวมค่า Ft ขายปลีกที่คำนวณได้กับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6.01 บาทต่อหน่วย โดยค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 44 จากระดับ 4.18 บาทต่อหน่วย ในงวดปัจจุบัน
กรณีจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 3 งวด ค่า Ft ขายปลีก เท่ากับ 113.78 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะสะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือนกันยายน – ธันวาคม 2567 จำนวน 34.30 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยชำระคืนภาระต้นทุนคงค้างที่ กฟผ. กู้เงินมาเพื่อตรึงค่าไฟฟ้าตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 – เมษายน 2567 ออกเป็น 3 งวดๆ ละจำนวน 32,832 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 54.46 สตางค์ต่อหน่วย) และมูลค่า AFGAS จำนวน 15,083.79 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 25.02 สตางค์ต่อหน่วย) รวมทั้งสิ้นเท่ากับ 79.48 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อให้ กฟผ. มีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้น สามารถดำเนินการตามแผนชำระคืนหนี้เงินกู้ที่วางไว้เพื่อรักษาระดับความน่าเชื่อถือ และลดภาระดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น โดยคาดว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 จะมีภาระต้นทุนคงค้างที่ กฟผ. รับภาระแทนประชาชนคงเหลืออยู่ที่ 65,663 ล้านบาท ในขณะที่รัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ จะได้รับเงินคืนส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าคืนทั้งหมด ซึ่งเมื่อรวมค่า Ft ขายปลีกกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.92 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากงวดปัจจุบัน
กรณีจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 6 งวด ค่า Ft ขายปลีก เท่ากับ 86.55 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะสะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือนกันยายน – ธันวาคม 2567 จำนวน 34.30 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยชำระคืนภาระต้นทุนคงค้างที่ กฟผ. กู้เงินมาเพื่อตรึงค่าไฟฟ้าตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 – เมษายน 2567 ออกเป็น 6 งวดๆ ละจำนวน 16,416 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 27.23 สตางค์ต่อหน่วย) และมูลค่า AFGAS จำนวน 15,083.79 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 25.02 สตางค์ต่อหน่วย) รวมทั้งสิ้นเท่ากับ 52.25 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อให้ กฟผ. มีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้น สามารถดำเนินการตามแผนชำระคืนหนี้เงินกู้ที่วางไว้เพื่อรักษาระดับความน่าเชื่อถือ และลดภาระดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น โดยคาดว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 จะมีภาระต้นทุนคงค้างที่ กฟผ. รับภาระแทนประชาชนคงเหลืออยู่ที่ 82,079 ล้านบาท ในขณะที่รัฐวิสาหกิจ ที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ จะได้รับเงินคืนส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าคืนทั้งหมด ซึ่งเมื่อรวมค่า Ft ขายปลีกกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.65 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากงวดปัจจุบัน
หมายเหตุ: * ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566
ดร.พูลพัฒน์ ยังกล่าวเชิญชวนประชาชนร่วมกันปรับพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าด้วยหลัก "5 ป." ง่ายๆ ได้แก่ ปลดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อไม่ใช้งาน, ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็น, ปรับแอร์ที่ 26 องศา, เปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์เบอร์ 5, และปลูกต้นไม้รอบบ้านเพื่อลดความร้อน ซึ่งจะช่วยลดค่าไฟฟ้าได้อีกทางหนึ่ง โดย กกพ. เปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชนผ่านเว็บไซต์จนถึง 26 กรกฎาคมนี้ ก่อนประกาศค่า Ft งวด ก.ย.-ธ.ค. 67 อย่างเป็นทางการ ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าไฟฟ้าสูงถึง 6.01 บาทต่อหน่วย