เมื่อเศรษฐกิจไทยดูจะไม่สดใสเท่าไหร่นัก ตัวเลขเศรษฐกิจที่เติบโตยังไม่ถึง 2% ดัชนีชี้วัดต่างๆ ที่ออกมาดูไปในทิศทางเดัยวกัน ทั้งยอดปิดโรงงานที่เพิ่มขึ้น ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรม (TISI) ของไทยร่วงลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี สัญญาณนี้สะท้อนถึงความกังวลของผู้ประกอบการที่มีต่อสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางและมีความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ บทความนี้จะพาไปสำรวจสาเหตุที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นลดลง ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง รวมถึงมาตรการที่ภาครัฐและภาคเอกชนควรดำเนินการเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้
โดยจากตัวเลขของกรมโรงงานที่ SPOTLIGHT ได้รวบรวม พบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ปิดโรงงานแล้ว 667 โรงงาน แรงงานได้รับผลกระทบเกือบ 2 หมื่นราย มูลค่าเงินลงทุนกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ยอดเปิดโรงงานใหม่ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 1,009 แห่ง เงินลงทุนกว่า 1.74 แสนล้านบาท มีการรับคนงานเพิ่มราว 38,615 คน
โดยสถิติยอดปิดโรงงานตั้งแต่ปี 2563 จนถึง 6 เดือนแรกของปีนี้ อยุ่ที่ 4,365 แห่ง เงินลงทุน 315,679.2 ล้านบาท คนงานรวม 143,977 คน ขณะที่ยอดเปิดโรงงานใหม่ ทั้งหมด 12,557 แห่ง เงินลงทุน 1,457,302.45 ล้านบาท คนงานรวม 588,665 คน
หากย้อนไปดูตัวเลขเปิด-ปิดโรงงาน ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2563-6 เดือนแรกของปีนี้ พบว่า มีตัวเลขเปิดโรงงานทั้งหมด 12,557 แห่ง เงินลงทุน 1,457,302.45 ล้านบาท คนงานรวม 588,665 คน ส่วนตัวเลขปิดโรงงานรวมทั้งสิ้น 4,365 แห่ง เงินลงทุน 315,679.2 ล้านบาท คนงานรวม 143,977 คน
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรม (TISI) ในเดือนมิถุนายน 2567 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สู่ระดับ 87.2 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนความกังวลของผู้ประกอบการที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางและมีความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (BSI) ประจำเดือนมิถุนายน 2567 ซึ่งจัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต่อสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดภายในประเทศ
ด้านภาพรวม ดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมปรับตัวลดลง โดยตลาดในประเทศได้รับผลกระทบมากกว่าตลาดต่างประเทศ ความเชื่อมั่นในตลาดในประเทศลดลงเกือบทุกภูมิภาค ยกเว้นภาคเหนือและภาคตะวันออกที่ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความเชื่อมั่นในตลาดต่างประเทศปรับตัวดีขึ้นในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออก ซึ่งเป็นฐานการผลิตที่สำคัญสำหรับการส่งออก
สำหรับปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดในประเทศ ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันที่ผันผวน และสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคงมีความไม่แน่นอน ในขณะที่ปัจจัยบวกสำหรับตลาดต่างประเทศมาจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัวและอัตราแลกเปลี่ยนที่เอื้อต่อการส่งออก
แม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบันจะปรับตัวลดลง แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงคาดการณ์ว่าสถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง ได้แก่ เศรษฐกิจโลก อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน และสถานการณ์ทางการเมือง ด้านผู้ประกอบการขนาดใหญ่แสดงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศ
ส.อ.ท. ได้เสนอให้ภาครัฐดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และค่าระวางเรือ การออกมาตรการป้องกันสินค้าต่างชาติที่เข้ามาทุ่มตลาด และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ
ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมที่ลดลงต่อเนื่องเป็นเครื่องเตือนใจว่า เศรษฐกิจไทยยังคงมีความเปราะบางและต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ล่าช้า ปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงของ SMEs รวมถึง ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ล้วนเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกที่พอประคองสถานการณ์ได้บ้าง เช่น การเติบโตของภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก การอ่อนค่าของเงินบาท ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก แต่การจะฟื้นฟูความเชื่อมั่นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาและปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ภาครัฐต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ตรงจุดและทันท่วงที เช่น การออกมาตรการช่วยเหลือ SMEs การส่งเสริมการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ในขณะที่ภาคเอกชนต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรม เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และแสวงหาตลาดใหม่ๆ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เศรษฐกิจไทยก็มีโอกาสที่จะฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืน แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายก็ตาม