Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
วิกฤตอุตฯ ไทย ดัชนีร่วง-ยอดปิดโรงงานพุ่ง! เศรษฐกิจไทยจะไปต่ออย่างไร?
โดย : อมรินทร์ทีวีออนไลน์

วิกฤตอุตฯ ไทย ดัชนีร่วง-ยอดปิดโรงงานพุ่ง! เศรษฐกิจไทยจะไปต่ออย่างไร?

19 ก.ค. 67
06:08 น.
|
2.7K
แชร์

เมื่อเศรษฐกิจไทยดูจะไม่สดใสเท่าไหร่นัก ตัวเลขเศรษฐกิจที่เติบโตยังไม่ถึง 2% ดัชนีชี้วัดต่างๆ ที่ออกมาดูไปในทิศทางเดัยวกัน ทั้งยอดปิดโรงงานที่เพิ่มขึ้น ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรม (TISI) ของไทยร่วงลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี สัญญาณนี้สะท้อนถึงความกังวลของผู้ประกอบการที่มีต่อสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางและมีความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ บทความนี้จะพาไปสำรวจสาเหตุที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นลดลง ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง รวมถึงมาตรการที่ภาครัฐและภาคเอกชนควรดำเนินการเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้

วิกฤตอุตฯ ไทย ดัชนีร่วง-ยอดปิดโรงงานพุ่ง! เศรษฐกิจไทยจะไปต่ออย่างไร?

วิกฤตอุตฯ ไทย ดัชนีร่วง-ยอดปิดโรงงานฟุ่ง! เศรษฐกิจไทยจะไปต่ออย่างไร?

โดยจากตัวเลขของกรมโรงงานที่ SPOTLIGHT ได้รวบรวม พบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ปิดโรงงานแล้ว 667 โรงงาน แรงงานได้รับผลกระทบเกือบ 2 หมื่นราย มูลค่าเงินลงทุนกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ยอดเปิดโรงงานใหม่ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 1,009 แห่ง เงินลงทุนกว่า 1.74 แสนล้านบาท มีการรับคนงานเพิ่มราว 38,615 คน

โดยสถิติยอดปิดโรงงานตั้งแต่ปี 2563 จนถึง 6 เดือนแรกของปีนี้ อยุ่ที่  4,365 แห่ง เงินลงทุน 315,679.2 ล้านบาท คนงานรวม 143,977 คน ขณะที่ยอดเปิดโรงงานใหม่ ทั้งหมด 12,557 แห่ง เงินลงทุน 1,457,302.45 ล้านบาท คนงานรวม 588,665 คน

หากย้อนไปดูตัวเลขเปิด-ปิดโรงงาน ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2563-6 เดือนแรกของปีนี้ พบว่า มีตัวเลขเปิดโรงงานทั้งหมด 12,557 แห่ง เงินลงทุน 1,457,302.45 ล้านบาท คนงานรวม 588,665 คน ส่วนตัวเลขปิดโรงงานรวมทั้งสิ้น  4,365 แห่ง เงินลงทุน 315,679.2 ล้านบาท คนงานรวม 143,977 คน

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรม (TISI) ในเดือนมิถุนายน 2567 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สู่ระดับ 87.2 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนความกังวลของผู้ประกอบการที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางและมีความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ

วิกฤตอุตฯ ไทย ดัชนีร่วง-ยอดปิดโรงงานฟุ่ง! ศก.ไทยจะไปต่ออย่างไร?

ปัจจัยภายในประเทศที่ฉุดรั้งความเชื่อมั่น

  • เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าคาด: การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง โดยเฉพาะภาคการบริโภคภายในประเทศที่ยังคงอ่อนแอ สาเหตุสำคัญมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงถึง 90.6% ต่อ GDP ณ สิ้นปี 2566 ทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อลดลงและไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อภาคธุรกิจต่างๆ เช่น ภาคค้าปลีก ภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรม ยกตัวอย่างเช่น ยอดขายรถยนต์ใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 หดตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
  • ปัญหาหนี้เสีย (NPL) ทวีความรุนแรง: หนี้เสียที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อที่อยู่อาศัย เป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจลุกลามบานปลาย หากสถาบันการเงินต้องตั้งสำรองหนี้เสียเพิ่มขึ้น ก็อาจทำให้ความสามารถในการปล่อยสินเชื่อใหม่ลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม ตัวอย่างเช่น หนี้เสียในกลุ่มสินเชื่อรถยนต์เพิ่มขึ้นจาก 2.5% ในปี 2565 เป็น 3.1% ในปี 2566
  • SMEs ประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างหนัก: ผู้ประกอบการ SMEs จำนวนมากประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน ขาดเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นจากความกังวลเรื่องหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ยังลดลงจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ ต้นทุนพลังงาน และต้นทุนแรงงาน
  • ความกังวลต่อนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ: นโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ เป็นประเด็นที่สร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ SMEs ที่มีต้นทุนการดำเนินงานที่จำกัดอยู่แล้ว และอาจต้องปรับลดจำนวนพนักงาน หรือชะลอการลงทุนเพื่อรับมือกับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

ปัจจัยภายนอกประเทศที่เพิ่มแรงกดดัน

  • ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์: สถานการณ์ความขัดแย้งและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคทั่วโลก เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานโลกและห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ต้นทุนการผลิตและการขนส่งสินค้าสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกของไทย
  • สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน: ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลาย อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ การที่สหรัฐฯ ออกมาตรการกีดกันทางการค้ากับจีน อาจทำให้จีนหันมาซื้อสินค้าจากประเทศอื่นแทน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในระยะยาว

ปัจจัยบวกที่พอประคองสถานการณ์

  • มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว: มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศและมาตรการฟรีวีซ่า ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ภาคโรงแรม ภาคร้านอาหาร ภาคขนส่ง และภาคค้าปลีก
  • การขยายตัวของอุปสงค์จากต่างประเทศ: อุปสงค์สินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากตลาดสหรัฐฯ อาเซียน อินเดีย และจีน ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุนภาคการส่งออกของไทย โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมหลัก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ และชิ้นส่วน
  • การอ่อนค่าของเงินบาท: การอ่อนค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาสินค้าส่งออกของไทยในตลาดโลก และทำให้สินค้าไทยมีราคาถูกลงสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งช่วยกระตุ้นภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยว

ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมไทย ภาพรวมและแนวโน้ม

วิกฤตอุตฯ ไทย ดัชนีร่วง-ยอดปิดโรงงานฟุ่ง! ศก.ไทยจะไปต่ออย่างไร?

ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (BSI) ประจำเดือนมิถุนายน 2567 ซึ่งจัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต่อสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดภายในประเทศ

ด้านภาพรวม ดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมปรับตัวลดลง โดยตลาดในประเทศได้รับผลกระทบมากกว่าตลาดต่างประเทศ ความเชื่อมั่นในตลาดในประเทศลดลงเกือบทุกภูมิภาค ยกเว้นภาคเหนือและภาคตะวันออกที่ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความเชื่อมั่นในตลาดต่างประเทศปรับตัวดีขึ้นในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออก ซึ่งเป็นฐานการผลิตที่สำคัญสำหรับการส่งออก

สำหรับปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดในประเทศ ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันที่ผันผวน และสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคงมีความไม่แน่นอน ในขณะที่ปัจจัยบวกสำหรับตลาดต่างประเทศมาจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัวและอัตราแลกเปลี่ยนที่เอื้อต่อการส่งออก

แนวโน้มความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมไทย

วิกฤตอุตฯ ไทย ดัชนีร่วง-ยอดปิดโรงงานฟุ่ง! ศก.ไทยจะไปต่ออย่างไร?

แม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบันจะปรับตัวลดลง แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงคาดการณ์ว่าสถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง ได้แก่ เศรษฐกิจโลก อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน และสถานการณ์ทางการเมือง ด้านผู้ประกอบการขนาดใหญ่แสดงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศ

ข้อเสนอแนะจากภาคอุตสาหกรรม

ส.อ.ท. ได้เสนอให้ภาครัฐดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และค่าระวางเรือ การออกมาตรการป้องกันสินค้าต่างชาติที่เข้ามาทุ่มตลาด และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ

ดังนั้น จากภาพการปิดโรงงาน และดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลงนั้น ในมุมมอง SPOTLIGHT เห็นว่า

วิกฤตอุตฯ ไทย ดัชนีร่วง-ยอดปิดโรงงานฟุ่ง! ศก.ไทยจะไปต่ออย่างไร?

ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมที่ลดลงต่อเนื่องเป็นเครื่องเตือนใจว่า เศรษฐกิจไทยยังคงมีความเปราะบางและต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ล่าช้า ปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงของ SMEs รวมถึง ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ล้วนเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกที่พอประคองสถานการณ์ได้บ้าง เช่น การเติบโตของภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก การอ่อนค่าของเงินบาท ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก แต่การจะฟื้นฟูความเชื่อมั่นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาและปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

ภาครัฐต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ตรงจุดและทันท่วงที เช่น การออกมาตรการช่วยเหลือ SMEs การส่งเสริมการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ในขณะที่ภาคเอกชนต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรม เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และแสวงหาตลาดใหม่ๆ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เศรษฐกิจไทยก็มีโอกาสที่จะฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืน แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายก็ตาม

แชร์
วิกฤตอุตฯ ไทย ดัชนีร่วง-ยอดปิดโรงงานพุ่ง! เศรษฐกิจไทยจะไปต่ออย่างไร?