สถานการณ์เงินเฟ้อในอาเซียนกำลังเป็นที่จับตามอง โดยไทยสามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำเป็นอันดับสอง รองจากบรูไน ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจไทย ในขณะที่ลาวกำลังเผชิญกับวิกฤตเงินเฟ้อที่รุนแรงที่สุดในภูมิภาค บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกสถานการณ์เงินเฟ้อในอาเซียน โดยเปรียบเทียบกับประเทศไทย บรูไน และลาว พร้อมทั้งวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในแต่ละประเทศ และบทบาทของภาครัฐในการรับมือกับความท้าทายนี้
กระทรวงพาณิชย์ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์เงินเฟ้อในภูมิภาคอาเซียน โดยระบุว่าประเทศไทยมีอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำเป็นอันดับสอง รองจากบรูไน ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า การติดตามข้อมูลอัตราเงินเฟ้อของประเทศสมาชิกอาเซียนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถเตรียมความพร้อมรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจและรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น หากประเทศคู่ค้าหลักของไทยมีอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าในประเทศไทยในที่สุด
จากการวิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูล CEIC พบว่า ประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 6 เดือนแรกของปี 2567 เทียบกับ 6 เดือนแรกของปีก่อน ต่ำที่สุดคือ เป็นอันดับ 1 คือ บรูไน ร้อยละ -0.26 อันดับ 2 คือ ไทย ซึ่งดัชนีราคาผู้บริโภคเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลง และอันดับ 3 – 9 คือประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยเป็นบวก ได้แก่ กัมพูชา ร้อยละ 0.26 มาเลเซีย ร้อยละ 1.81 อินโดนีเซีย ร้อยละ 2.79 สิงคโปร์ ร้อยละ 2.87 ฟิลิปปินส์ ร้อยละ 3.55 เวียดนาม ร้อยละ 4.08 และลาว มีอัตราเงินเฟ้อสูงที่สุดอยู่ที่ 25.29% ซึ่งอาจเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ เช่น ภาวะเงินเฟ้อที่นำเข้าจากต่างประเทศ ภัยแล้ง หรือปัญหาการผลิต
ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการรักษาเสถียรภาพด้านราคา โดยดัชนีราคาผู้บริโภคเฉลี่ยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอยู่ในระดับต่ำเป็นอันดับที่ 2 ในอาเซียน ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ อุปสงค์ภายในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ราคาอาหารสด โดยเฉพาะเนื้อสุกรที่อยู่ในระดับต่ำเนื่องจากมีผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น รวมถึงราคาค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำมันดีเซลที่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน อันเป็นผลมาจากมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม การรักษาเสถียรภาพด้านราคาในระยะยาวต้องอาศัยการดำเนินนโยบายที่เหมาะสมและการปรับตัวต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลไทยควรให้ความสำคัญกับการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ ส่งเสริมการลงทุน และพัฒนาภาคการผลิต เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทย และรับมือกับความท้าทายต่างๆ ในอนาคต
บรูไนโดดเด่นด้วยการมีอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยต่ำที่สุดในอาเซียนในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 โดยอัตราเงินเฟ้อติดลบที่ -0.26% นั้นสะท้อนถึงการลดลงของราคาสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านที่อยู่อาศัยและสาธารณูปโภค ซึ่งรวมถึงไฟฟ้า น้ำ ก๊าซ และการขนส่ง ซึ่งมีน้ำหนักมากในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ ฐานะของบรูไนในฐานะประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ ทำให้เศรษฐกิจและรายได้ของรัฐบาลมีความอ่อนไหวต่อความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลบรูไนได้ดำเนินนโยบายทางการเงินและมาตรการควบคุมราคาสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ
ธนาคารกลางบรูไน (BDCB) ได้คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2567 จะอยู่ในช่วง -0.5% ถึง 0.5% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของธนาคารกลางในการรักษาเสถียรภาพด้านราคาในระยะยาว แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะยังคงมีความไม่แน่นอนสูงก็ตาม การดำเนินนโยบายที่เหมาะสมและการปรับตัวต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป จะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความสำเร็จของบรูไนในการควบคุมเงินเฟ้อต่อไป
ในทางตรงกันข้ามกับบรูไน ลาวกำลังเผชิญกับสถานการณ์เงินเฟ้อที่รุนแรงที่สุดในอาเซียน โดยมีอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 สูงถึง 25.29% ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เงินเฟ้อในลาวพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ ฐานการผลิตภายในประเทศที่ยังไม่แข็งแรง ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเป็นหลัก เมื่อรวมกับปัญหาหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง และค่าเงินกีบที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าเพิ่มสูงขึ้น และราคาสินค้าภายในประเทศก็ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
สถานการณ์เงินเฟ้อในลาวทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยในเดือนมิถุนายน 2567 อัตราเงินเฟ้อแตะระดับสูงสุดในรอบปีที่ 26.15% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากังวลอย่างยิ่ง และส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวลาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รัฐบาลลาวจำเป็นต้องเร่งดำเนินมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้ออย่างเร่งด่วน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ
ในขณะที่ลาวกำลังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อที่รุนแรง เวียดนามก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน โดยอยู่ที่ 4.08% อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังคงรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดย GDP ขยายตัวถึง 6.42% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของภาคการผลิตและการส่งออกที่โดดเด่น
ทั้งเวียดนามและมาเลเซียเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยในอาเซียน การเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศจึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายธุรกิจและเพิ่มยอดขาย อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยควรติดตามสถานการณ์เงินเฟ้อในทั้งสองประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เหมาะสม และรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นได้
นายพูนพงษ์ ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า อัตราเงินเฟ้อในแต่ละประเทศอาเซียนมีความแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่างๆ ทั้งสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ การบริโภค นโยบายการเงิน และความสามารถในการฟื้นตัวจากผลกระทบต่างๆ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยจะยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค แต่ก็ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่อาจส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าสำคัญ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า ภัยธรรมชาติ หรือแม้แต่นโยบายของรัฐบาลเอง
โดยยังคงมองเห็นโอกาสในการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคการท่องเที่ยว การลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน และการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกันผลักดันปัจจัยเหล่านี้ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ นายพูนพงษ์ ยืนยันว่า จะเดินหน้าทำงานเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยจะร่วมมือกับภาคเอกชนในการกำกับดูแลราคาสินค้าให้มีความเป็นธรรมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของทั้งภาคธุรกิจและประชาชน นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังจะมุ่งมั่นขยายโอกาสให้กับผู้ประกอบการ SME และผลักดันการส่งออกของไทยให้เติบโตยิ่งขึ้น ทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจการค้าของไทย และส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในที่สุด