Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เครดิตบูโร คือ อะไร? เช็กเครดิตบูโรออนไลน์ต้องรู้อะไรบ้าง?
โดย : มนันพัทธ์ ธนนันท์พร

เครดิตบูโร คือ อะไร? เช็กเครดิตบูโรออนไลน์ต้องรู้อะไรบ้าง?

15 พ.ย. 67
16:33 น.
|
906
แชร์

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีการเงิน (FinTech) กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด บริการทางการเงินเข้าถึงง่ายเพียงปลายนิ้ว ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล หรือสินเชื่อบ้าน ล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้เร็วยิ่งขึ้น 

แต่ในขณะเดียวกันการมีวินัยทางการเงิน และความรับผิดชอบในการชำระหนี้ ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว

หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสะท้อนภาพรวมสถานะทางการเงินของเรา คือ "เครดิตบูโร"  หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อนี้ผ่านหูกันมาบ้าง แต่อาจยังไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่าเครดิตบูโร คือ อะไร?  มีบทบาทอย่างไร? และสำคัญกับเราอย่างไร?

บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาคุณไปสำรวจข้อมูลของเครดิตบูโร เพื่อข่วยให้เข้าใจความหมาย  ความสำคัญ องค์ประกอบ และประโยชน์ พร้อมไขข้อข้องใจเกี่ยวกับรายงานเครดิต และวิธีตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโร เพื่อให้คุณมีความรู้ความเข้าใจ และสามารถใช้ประโยชน์จากเครดิตบูโร ในการสร้างเสริมความมั่นคงทางการเงินได้อย่างมั่นใจ

เครดิตบูโร คือ อะไร? เช็กเครดิตบูโรออนไลน์ต้องรู้อะไรบ้าง?

เครดิตบูโร ถือเป็นสถาบันที่มีบทบาทสำคัญยิ่งยวดในระบบเศรษฐกิจการเงิน โดยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลเครดิต  ซึ่งใช้ประเมินความน่าเชื่อถือของบุคคลและนิติบุคคล 

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเครดิตบูโร บทความนี้จึงมุ่งนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเครดิตบูโร ครอบคลุมตั้งแต่ความหมาย ความสำคัญ กระบวนการจัดเก็บข้อมูลไปจนถึงข้อควรรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลเครดิตอย่างเท่าเทียม

[นิยาม และองค์ประกอบ ของข้อมูลเครดิต]

ข้อมูลเครดิต  หมายถึง  ข้อมูลที่รวบรวม ประมวลผล และจัดเก็บ โดยบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (National Credit Bureau: NCB)  ซึ่งแสดงถึงประวัติการชำระหนี้ และพฤติกรรมทางการเงินของบุคคล หรือ นิติบุคคล ข้อมูลเครดิตประกอบด้วย 2 องค์ประกอบหลัก  ได้แก่

  1. ข้อมูลระบุตัวตน : ประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด เลขประจำตัวประชาชน สถานภาพสมรส อาชีพ รายได้ และในกรณีของนิติบุคคล จะรวมถึงชื่อนิติบุคคล สถานที่ตั้ง และเลขทะเบียนนิติบุคคล
  2. ข้อมูลประวัติสินเชื่อ : ครอบคลุมข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อทุกประเภท เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ บัตรเครดิต รวมถึงประวัติการชำระเงิน วงเงินสินเชื่อ และสถานะบัญชี

[ความสำคัญของข้อมูลเครดิต]

ข้อมูลเครดิต มีบทบาทสำคัญยิ่งยวดต่อระบบเศรษฐกิจการเงิน โดยทำหน้าที่เป็น  "ตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือ"  ของบุคคลและนิติบุคคล ซึ่งสถาบันการเงิน และผู้ให้บริการสินเชื่อ จะใช้ข้อมูลเครดิตประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ  กำหนดวงเงิน  และอัตราดอกเบี้p

สำหรับบุคคลที่มีประวัติเครดิตดี ย่อมมีโอกาสได้รับการอนุมัติสินเชื่อ และได้รับเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์มากกว่า นอกจากนี้ ข้อมูลเครดิตยังถูกนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ  เช่น การสมัครงาน การเช่าอสังหาริมทรัพย์ และการทำธุรกรรมทางธุรกิจ  ที่ต้องการความน่าเชื่อถือ และความมั่นคงทางการเงิน

[หน่วยงานที่รับผิดชอบ]

โดยหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต  คือ  บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (National Credit Bureau: NCB)  ซึ่งได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เป็นผู้รวบรวม ประมวลผล และจัดเก็บข้อมูลเครดิต จากสถาบันการเงินและผู้ให้บริการสินเชื่อต่างๆ  ที่เป็นสมาชิก

[แหล่งที่มาของข้อมูลเครดิต]

ข้อมูลเครดิต จะถูกรวบรวมจากสถาบันการเงิน และผู้ให้บริการสินเชื่อ ที่เป็นสมาชิกของ NCB  เช่น  ธนาคารพาณิชย์  บริษัทเงินทุน  บริษัทบัตรเครดิต บริษัทประกันชีวิต  ฯลฯ โดยสมาชิกเหล่านี้ มีหน้าที่ในการรายงานข้อมูล และปรับปรุงข้อมูลเครดิตของลูกค้าให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ

[ข้อมูลที่ไม่รวมอยู่ในเครดิตบูโร]

ข้อมูลเกี่ยวกับการชำระค่าสาธารณูปโภคต่างๆ  เช่น  ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต ฯลฯ ปัจจุบันยังไม่ถูกนำมารวมเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลเครดิต

[ระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลเครดิต]

โดยทั่วไปข้อมูลเครดิตจะถูกจัดเก็บไว้ จนกว่าบัญชีสินเชื่อจะถูกปิดหรือชำระเสร็จสิ้น  ส่วนในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ และค้างชำระเกิน 90 วัน ข้อมูลจะถูกเก็บไว้เป็นระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่ค้างชำระเกิน 90 วัน และหลังจากนั้น  NCB จะเก็บข้อมูลดังกล่าวไว้ในฐานข้อมูลอีกไม่เกิน 3 ปี ก่อนจะทำการลบออกจากระบบ

สรุป : ข้อมูลเครดิต คือ เครื่องมือสำคัญที่สะท้อนถึงวินัย และความรับผิดชอบทางการเงิน การสร้าง และรักษาประวัติเครดิตที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินต่างๆ และเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว 

ดังนั้น จึงควรตระหนักถึงความสำคัญ และหมั่นตรวจสอบข้อมูลเครดิตของตนเอง เพื่อประโยชน์สูงสุดในการบริหารจัดการทางการเงิน

สำหรับท่านที่ต้องการตรวจเครดิตบูโรผ่าน MobileApplication และ Internet Banking คลิกเลย

[รายงานข้อมูลเครดิต กระจกสะท้อน ความรับผิดชอบทางการเงิน]

ในภาคส่วนการเงิน "รายงานเครดิต" ถือเป็นเอกสารสำคัญยิ่ง โดยทำหน้าที่เป็นฐานข้อมูลสะท้อนประวัติการชำระหนี้ และพฤติกรรมทางการเงินของบุคคล หรือนิติบุคคล  สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการสินเชื่อ ใช้รายงานข้อมูลเครดิตเป็นเครื่องมือสำคัญ  ประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ กำหนดวงเงิน และอัตราดอกเบี้ย 

[รายงานข้อมูลเครดิต สาระสำคัญและวัตถุประสงค์]

รายงานข้อมูลเครดิต (Credit Report)  จัดทำโดยบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB)  ภายใต้กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง  รายงานนี้รวบรวมข้อมูลประวัติการชำระหนี้ และสถานะบัญชีสินเชื่อ  ของบุคคล  หรือนิติบุคคล  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ:

  1. สนับสนุนการตัดสินใจทางเครดิต : สถาบันการเงินและผู้ให้บริการสินเชื่อใช้รายงานเครดิตประกอบการพิจารณาความเสี่ยง ก่อนอนุมัติสินเชื่อ กำหนดวงเงิน และอัตราดอกเบี้ย
  2. ส่งเสริมความรับผิดชอบทางการเงิน : รายงานเครดิตกระตุ้นให้บุคคล และนิติบุคคลตระหนักถึงความสำคัญของการชำระหนี้ตรงเวลา เพื่อสร้างประวัติทางการเงินที่ดี
  3. เพิ่มประสิทธิภาพระบบเครดิต : รายงานเครดิตช่วยลดความไม่สมดุลของข้อมูล ระหว่างผู้ให้กู้และผู้กู้ ส่งผลให้ระบบสินเชื่อมีประสิทธิภาพ และเสถียรภาพมากขึ้น

[สถานะบัญชี  ตัวบ่งชี้พฤติกรรมการชำระหนี้]

รายงานเครดิตประกอบด้วยข้อมูล  "สถานะบัญชี"  ซึ่งจำแนกตามลักษณะ  ดังนี้:

  • บัญชีปกติ : บัญชีที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระ และมีประวัติการชำระหนี้ตรงเวลา สม่ำเสมอ
  • บัญชีที่ปิดแล้ว : บัญชีที่ชำระหนี้ครบถ้วน และปิดบัญชีตามกระบวนการ
  • บัญชีค้างชำระ : บัญชีที่มียอดค้างชำระเกินกำหนด แบ่งเป็น ค้างชำระ 1-30 วัน, 31-60 วัน, 61-90 วัน, 91-120 วัน, และเกิน 120 วัน
  • บัญชีที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดี : บัญชีที่อยู่ระหว่างกระบวนการทางกฎหมาย เช่น การฟ้องร้อง การบังคับคดี

[รายงานเครดิต  กับ  Blacklist  ความเข้าใจที่ถูกต้อง]

รายงานเครดิต  มิใช่  Blacklist แต่เป็นการบันทึกข้อมูลประวัติการชำระหนี้ตามข้อเท็จจริง โดยไม่มีการระบุว่าบุคคลใด  "ติด Blacklist"  รายงานเครดิตเป็นเพียงเครื่องมือสะท้อนพฤติกรรมทางการเงิน โดยบันทึกทั้งประวัติการชำระหนี้ที่ดี และกรณีที่มีการผิดนัดชำระ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ จะถูกนำไปใช้ประกอบการพิจารณาสินเชื่อในอนาคต

[ข้อมูลเครดิตไม่ถูกต้อง สิทธิของคุณและแนวทางแก้ไข]

ข้อมูลเครดิตที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ถือเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการเข้าถึงบริการทางการเงิน และคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือในระบบเศรษฐกิจ  อย่างไรก็ดี อาจเกิดกรณีที่ข้อมูลเครดิตมีความคลาดเคลื่อน หรือไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง มีแนวทางการแก้ไข เมื่อตรวจพบว่าข้อมูลเครดิตไม่ถูกต้อง

[สิทธิในการแก้ไขข้อมูลเครดิต]

พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545  ได้บัญญัติรับรองสิทธิให้เจ้าของข้อมูล  สามารถ "ร้องขอให้มีการตรวจสอบและแก้ไข"  ข้อมูลเครดิตของตนเองได้  ในกรณีที่พิสูจน์ทราบว่าข้อมูลดังกล่าวไม่ถูกต้อง  หรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริง  โดยสามารถดำเนินการได้  2  ช่องทาง  ดังนี้

  1. ยื่นคำร้องต่อบริษัทข้อมูลเครดิต : เจ้าของข้อมูลสามารถยื่นคำร้องขอให้มีการตรวจสอบ พร้อมเอกสารหลักฐานประกอบ ต่อบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) โดย NCB จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และประสานงานกับสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องครบถ้วน
  2. ยื่นคำร้องต่อสถาบันการเงิน : เจ้าของข้อมูลสามารถติดต่อสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าของบัญชี เพื่อขอให้มีการตรวจสอบ และแก้ไขข้อมูลเครดิตโดยตรง โดยสถาบันการเงินมีหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบ และแจ้งผลการตรวจสอบให้เจ้าของข้อมูลทราบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้อง

[ข้อจำกัดในการแก้ไขข้อมูลเครดิต]

แม้กฎหมายจะให้สิทธิ์เจ้าของข้อมูลในการแก้ไขข้อมูลเครดิต  แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการ  เช่น

ข้อมูลต้องไม่ตรงกับข้อเท็จจริง : เจ้าของข้อมูลต้องแสดงหลักฐานอันหนักแน่น เพื่อพิสูจน์ว่าข้อมูลเครดิตไม่ถูกต้องหรือไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง

ข้อมูลต้องไม่เกินอายุการจัดเก็บ : ข้อมูลเครดิตที่เกินระยะเวลาการจัดเก็บตามที่กฎหมายกำหนดจะถูกลบออกจากระบบและไม่สามารถแก้ไขได้

[แนวทางการดำเนินการเมื่อตรวจพบข้อมูลเครดิตไม่ถูกต้อง]

  1. รวบรวมหลักฐาน : จัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น บัตรประจำตัวประชาชน รายงานข้อมูลเครดิต หลักฐานการทำธุรกรรมทางการเงิน ฯลฯ
  2. ยื่นคำร้องขอให้มีการตรวจสอบ : ยื่นคำร้องพร้อมเอกสารหลักฐานต่อ NCB หรือสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง
  3. ติดตามผล : ติดตามผลการตรวจสอบและการแก้ไขข้อมูล จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในระยะเวลาที่กำหนด
  4. ใช้สิทธิ์โต้แย้ง : หากไม่เห็นพ้องกับผลการตรวจสอบ เจ้าของข้อมูลสามารถยื่นคำร้องขอให้ NCB บันทึกข้อโต้แย้งไว้ในรายงานข้อมูลเครดิต และยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต เพื่อพิจารณาต่อไป

สรุป : ข้อมูลเครดิตที่ถูกต้องเป็นประเด็นสำคัญที่พึงตระหนัก และพึงกระทำการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหากตรวจพบความคลาดเคลื่อนพึงดำเนินการแก้ไขโดยทันที  เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการเข้าถึงบริการทางการเงิน และโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต

[เครดิตบูโร ไม่ใช่แค่คะแนน แต่ คือ อนาคตทางการเงิน]

ในบริบทของระบบเศรษฐกิจการเงินยุคปัจจุบัน ซึ่งการเข้าถึงบริการทางการเงินถือเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ  เครดิตบูโรได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทเป็นกลไกสำคัญ ที่เชื่อมโยงระหว่างสถาบันการเงินและผู้บริโภค โดยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลประวัติทางการเงิน สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือ และวินัยทางการเงินของแต่ละบุคคล อันเป็นปัจจัยชี้ขาดในการเข้าถึงบริการทางการเงินและโอกาสทางเศรษฐกิจต่างๆ

เครดิตบูโร  เปรียบเสมือนกระจกสะท้อนสถานะทางการเงิน  โดยรวบรวม  และประมวลผลข้อมูลประวัติการชำระหนี้  และพฤติกรรมทางการเงิน  ของบุคคล  หรือนิติบุคคล  อย่างเป็นระบบ  ข้อมูลดังกล่าว  จะถูกนำไปใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ  กำหนดวงเงิน  และอัตราดอกเบี้ย  โดยสถาบันการเงิน  ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ  ที่ส่งผลต่อโอกาส  และต้นทุนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน

อย่างไรก็ตาม  เครดิตบูโรไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับสถาบันการเงิน  แต่ยังเป็นกลไกสำคัญ  ที่ช่วยให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึง  ตรวจสอบ  และบริหารจัดการข้อมูลประวัติทางการเงินของตนเอง  ได้อย่างโปร่งใส  และมีประสิทธิภาพ  การตรวจสอบรายงานเครดิตเป็นประจำ  ช่วยให้บุคคลสามารถติดตามสถานะทางการเงิน  และดำเนินการแก้ไขข้อผิดพลาด  หรือความคลาดเคลื่อน  ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที  อันจะช่วยป้องกันปัญหา  และผลกระทบด้านลบ  ที่อาจเกิดขึ้นต่อการเข้าถึงบริการทางการเงินในอนาคต

การสร้างและรักษาประวัติเครดิตที่ดี  นับเป็นภารกิจสำคัญ  ที่ส่งผลต่อความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว  โดยบุคคลควรตระหนักถึง  และปฏิบัติตามหลักวินัยทางการเงิน  เช่น  การชำระหนี้ตรงเวลา  การใช้จ่ายอย่างมีสติ  และการบริหารจัดการหนี้สินอย่างเหมาะสม  เพื่อสร้างเสริมความน่าเชื่อถือ  และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินต่างๆ

กล่าวโดยสรุป เครดิตบูโร  คือ กลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจการเงิน  โดยทำหน้าที่เชื่อมโยง และสร้างความสมดุลระหว่างสถาบันการเงิน และผู้บริโภค ดังนั้น การมีความรู้ความเข้าใจและการใช้ประโยชน์จากเครดิตบูโรอย่างเหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคง และยกระดับคุณภาพชีวิตทางการเงินของประชาชน อันนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมอย่างยั่งยืน

แชร์
เครดิตบูโร คือ อะไร? เช็กเครดิตบูโรออนไลน์ต้องรู้อะไรบ้าง?