ราคาบิตคอยน์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ทั้งในตลาด Spot และตลาดฟิวเจอร์ ส่งผลเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มคริปโทฯ
ทั้งนี้ ราคาสัญญาส่งมอบเดือนมีนาคม 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.8% แตะระดับ 101,992 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่สัญญาส่งมอบเดือนมิถุนายน 2568 และกันยายน 2568 อยู่ที่ระดับ 104,948 ดอลลาร์สหรัฐฯ และ 107,690 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ การปรับตัวสูงขึ้นของราคาสัญญาฟิวเจอร์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่คาดการณ์ว่าราคาบิตคอยน์ในตลาด Spot จะปรับตัวสูงขึ้นทะลุระดับ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในสิ้นเดือนมีนาคม 2568 อย่างแน่นอน
แนวโน้มเชิงบวกของราคาบิตคอยน์ ส่งผลให้หุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ปรับตัวสูงขึ้นในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นวอลล์สตรี โดยราคาหุ้นของบริษัท Coinbase ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีรายใหญ่ พุ่งขึ้น 3% ขณะที่ราคาหุ้นของ Microstrategy บริษัทซอฟต์แวร์ ซึ่งมีการลงทุนในบิตคอยน์จำนวนมาก พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงถึง 11% ส่วน Mara Holdings บริษัทที่ทำธุรกิจขุดบิตคอยน์ก็ปรับตัวขึ้น 9% เช่นกัน
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ราคาบิตคอยน์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา (เกือบ 30%) คือชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประกอบกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาด
ผู้เชี่ยวชาญหลายรายคาดการณ์ว่า ราคาบิตคอยน์อาจปรับตัวสูงขึ้นถึง 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยประเมินว่าชัยชนะของทรัมป์ และการที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร จะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้ทรัมป์สามารถผลักดันนโยบายต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อตลาดคริปโทฯ เช่น การผ่อนคลายกฎระเบียบในการควบคุมคริปโทเคอร์เรนซี และการผลักดันให้สหรัฐฯ กลายเป็นศูนย์กลางของตลาดคริปโทฯ ระดับโลก
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าคณะทำงานของทรัมป์เตรียมจัดตั้งตำแหน่งใหม่ในทำเนียบขาว เพื่อกำกับดูแลนโยบายด้านคริปโทเคอร์เรนซีโดยเฉพาะ ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมคริปโทฯ ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกันบิตคอยน์ยังได้รับปัจจัยบวกจากข่าวที่ว่า บริษัททรัมป์ มีเดีย แอนด์ เทคโนโลยี กรุ๊ป (TMTG) ของทรัมป์ กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการบริษัท Bakkt ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี รวมถึงการที่บริษัท BlackRock ได้รับอนุมัติให้เปิดซื้อขายกองทุน Bitcoin ETF ในตลาด Nasdaq ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นแรงผลักดันให้บิตคอยน์ และตลาดคริปโทฯ โดยรวมมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ณ ขณะนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งบิตคอยน์ ซึ่งเป็นผู้นำตลาดที่สามารถทำลายสถิติสูงสุดเดิมและพุ่งทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในตลาด Spot และตลาดฟิวเจอร์
โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่
นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของแพลตฟอร์มศูนย์ซื้อขายและนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ หรือ BINANCE TH กล่าวถึงการที่บิทคอยน์ราคาพุ่งแตะระดับ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ว่า ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ตอกย้ำถึงการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลในฐานะเครื่องมือทางการเงินกระแสหลักได้อย่างแท้จริง ด้วยมูลค่าตลาดรวมที่สูงถึง 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
บิทคอยน์จึงกลายเป็นหนึ่งในเจ็ดสินทรัพย์หรือบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกเช่นเดียวกับทองคำและบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง NVIDIA, Apple และ Microsoft
ปัจจัยที่ทำให้ราคาบิตคอยน์พุ่งนิวไฮนั้น มาจากหลายปัจจัย ดังนี้
สิ่งเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน นอกจากนี้ การที่บริษัทชั้นนำอย่าง Micro Strategy ถือครองบิทคอยน์ถึง 1.5% ของจำนวนทั้งหมด ยังสะท้อนให้เห็นว่าองค์กรขนาดใหญ่เริ่มมองบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์สำรองเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ
การเปิดตัว Bitcoin ETFs และผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น Bitcoin ETF Options ก็มีบทบาทสำคัญในการทำให้บิทคอยน์เข้าถึงกลุ่มนักลงทุนสถาบันได้ง่ายขึ้น ช่วยให้นักลงทุนจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เงินทุนหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดคริปโตด้วยเช่นกัน
ในวันนี้ บิทคอยน์ไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์เฉพาะกลุ่มอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของระบบการเงินกระแสหลัก บริษัทชั้นนำและรัฐบาลในหลายประเทศเริ่มให้ความสนใจในบิทคอยน์มากขึ้น สะท้อนถึงบทบาทสำคัญในอนาคตของระบบการเงินโลก BINANCE TH มีความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในช่วงเวลาสำคัญนี้ และพร้อมที่จะสนับสนุนการเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเท่าเทียมสำหรับทุกคนต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวโน้มของตลาดคริปโทฯ โดยรวมจะเป็นไปในทิศทางบวก แต่นักลงทุนควรตระหนักถึงความผันผวนของราคา และความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาล การแฮ็กหรือการฉ้อโกง ดังนั้น การศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจในสินทรัพย์ดิจิทัลที่ต้องการลงทุน รวมถึงการกระจายความเสี่ยง จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่นักลงทุนทุกคนควรให้ความสำคัญ
ในอนาคต คาดว่าตลาดคริปโทเคอร์เรนซี จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยต่างๆ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน การนำคริปโทฯไปใช้ในวงกว้างมากขึ้น และความต้องการสินทรัพย์ดิจิทัล ที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามข่าวสาร และสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน และบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
หมายเหตุ: Deribit เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายตราสารอนุพันธ์ของบิตคอยน์ และสกุลเงินคริปโทฯ ประเภทอื่นๆ