ตลาดหุ้นไทย ถือเป็นหนึ่งในเครื่องสะท้อนสำคัญของเศรษฐกิจประเทศ โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา การเติบโตที่ชะลอตัวและความเชื่อมั่นที่ลดลงได้กลายเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อทั้งนักลงทุนและภาครัฐ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ มีแสงแห่งความหวังใหม่ในการพัฒนาตลาดทุนและระบบเศรษฐกิจผ่านวิสัยทัศน์ของ “ดร.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตทัพใหญ่เศรษฐกิจ ขึ้นปาฐกถาเวที “Dinner Talk CHAT with TONY: BULL RALLY of THAI CAPITAL MARKET” ช่วยยกระดับเศรษฐกิจไทย และพาตลาดหุ้นไทยฝ่าวิกฤต ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ
บทความนี้ SPOTLIGHT จะพามาสำรวจประเด็นสำคัญที่ถูกนำเสนอ พร้อมทั้งแนวทางการแก้ปัญหาและการพัฒนาที่สามารถผลักดันตลาดหุ้นไทยให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ดร.ทักษิณ เน้นย้ำถึง 3 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของตลาดทุน ได้แก่ Trust (ความเชื่อใจ), Confidence (ความมั่นใจ), และ Sentiment (กระแสความเชื่อมั่น) โดยในปัจจุบัน ปัจจัยเหล่านี้กำลังเผชิญกับความท้าทายที่ต้องการการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน
• Trust และ Confidence: จำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ผ่านการปรับปรุงระบบ Corporate Governance ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเฉพาะการตรวจสอบการบริหาร การทำบัญชี และการป้องกันการทุจริต
• Sentiment: ปัจจัยนี้อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โลก เช่น การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหรัฐฯ และความผันผวนในตลาดโลก แต่ประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือและปรับตัวอย่างเหมาะสม
หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญ คือ การดำเนินการที่ล่าช้าของหน่วยงานกำกับดูแล เช่น ก.ล.ต. ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ดร.ทักษิณ เสนอว่า ก.ล.ต. ควรได้รับการเพิ่มอำนาจให้สามารถดำเนินการกับปัญหาทันที โดยไม่ต้องพึ่งพากระบวนการซับซ้อน เช่น การรอคำตัดสินจากอัยการหรือหน่วยงานอื่น ซึ่งเรื่องนี้ทางกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางแก้ไข
ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันยังขาดบริษัทใหม่ๆ ที่มีศักยภาพและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจ ดังนั้น แนวทางแก้ไขที่สำคัญ ได้แก่:
รัฐบาลควรชักชวนบริษัทขนาดใหญ่จากต่างประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่น เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และเทคโนโลยี AI ให้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย เพื่อเพิ่มความหลากหลายและความน่าสนใจของตลาด
ส่งเสริมให้บริษัทในตลาดสามารถซื้อหุ้นตัวเองเข้าพอร์ต เพื่อเพิ่มมูลค่าของหุ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
ดร.ทักษิณ มองว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างรวดเร็ว และประเทศไทยต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเสนอแนวทางที่สำคัญ ได้แก่
• การเปิดรับ Cryptocurrency และ Stablecoin เพื่อรองรับการเทรดและการลงทุนในอนาคต
• การพัฒนา Tokenization ของสินทรัพย์ในโลกจริง (Real World Asset) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับทรัพย์สิน เช่น คอนโดมิเนียม หรืออสังหาริมทรัพย์อื่นๆ
• การสนับสนุน เวอร์ชวลแบงก์ (Virtual Bank) เพื่อสร้างระบบการเงินที่มีประสิทธิภาพและรองรับการเติบโตในอนาคต
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ คือ การผลักดันการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศ โดยประเทศไทยสามารถสร้าง “ศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอนเครดิต” เพื่อเพิ่มมูลค่าของคาร์บอนเครดิตในประเทศ ลดการพึ่งพาการซื้อขายผ่านประเทศอื่น และสร้างความได้เปรียบในตลาดส่งออก
การลดต้นทุนค่าไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่ถูกนำเสนอ โดยมีเป้าหมายลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาท/หน่วย เพื่อเพิ่มความน่าสนใจในการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูง เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์และ AI ฮับ นอกจากนี้ การสนับสนุนพลังงานสีเขียวยังช่วยลดต้นทุนในระยะยาวและเพิ่มความยั่งยืนให้กับระบบพลังงานของประเทศ
ดร.ทักษิณ เชื่อมั่นว่า ประเทศไทยสามารถพัฒนาเป็นศูนย์กลางการเงิน (Financial Center) ได้ หากมีการจัดการและวางนโยบายที่เหมาะสม โดยการศึกษาตัวอย่างจากประเทศชั้นนำอย่างดูไบและสิงคโปร์ รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนในภาคธุรกิจขนาดใหญ่และตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง
วิสัยทัศน์และข้อเสนอของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ไม่เพียงแต่เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังมุ่งเน้นการวางรากฐานเพื่ออนาคตของตลาดหุ้นไทยและเศรษฐกิจในระยะยาว หากสามารถนำมาปฏิบัติจริง อาจช่วยให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวจาก “ทศวรรษที่หายไป” และก้าวสู่บทบาทใหม่ในเวทีโลกได้อย่างแข็งแกร่ง
การฟื้นฟูตลาดหุ้นไทยและเศรษฐกิจในครั้งนี้จึงเป็นมากกว่าแค่ความหวัง แต่ คือ โอกาสครั้งสำคัญที่ประเทศไทยจะต้องคว้าไว้เพื่อก้าวสู่อนาคตอย่างมั่นคง