เหล็กจีนตีตลาดเหล็กไทย กระทบหนัก จนต้องปิดตำนานโรงเหล็กกรุงเทพ คาดหากภาครัฐบาลไม่ทำอะไร โมเดลธุรกิจจีนรุกคืบจากผู้ส่งออกมาตั้งโรงงานต้นทุนต่ำ ชิงตลาดจัดซื้อจัดจ้างจากภาครัฐ กลืนทุนไทย “มิลล์คอน สตีล” เผยวิกฤตอุตสาหกรรมผู้ผลิตเหล็กไทยโดนกระทบหนัก เจอแรงกดดันแข่งขันราคาจากเหล็กจีน วอนรัฐเร่งช่วยเหลือด่วน ชง 3 มาตรการ “No VAT-ดูแลราคาพลังงาน-ขยายประกาศการห้ามตั้งโรงงานเหล็กเส้นในประเทศต่อไปอีก” พร้อมชูเหล็กเกรดพิเศษขยายตลาดใหม่
จากข่าวการเลิกจ้างคนงานของ บริษัทโรงงานเหล็กกรุงเทพ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของอุตสาหกรรมเหล็กไทยที่กำลังถูกรุกรานจากเหล็กจีนที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ ส่งผลให้ผู้ผลิตเหล็กไทยรายเดิม ๆ ประสบปัญหาขาดทุนสะสมและถูกปิดกิจการหรือถูกซื้อกิจการโดยนักลงทุนต่างชาติ
โรงเหล็กกรุงเทพเป็นผู้ผลิตเหล็กทรงยาวรายสุดท้ายของไทยที่มีไลน์การผลิตมายาวนานถึง 59 ปี ก่อนที่จะถูกปิดไลน์โรงหลอมไปเมื่อปี 2565 และลดคนงานไป 50% เหลือเพียงไลน์การผลิตที่เป็นโรงรีดเหล็ก
ก่อนหน้านี้ ธุรกิจโรงเหล็กทรงยาวของไทยหลายแห่งก็ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น โรงเหล็กสยาม โรงเหล็กพัฒนา ล้วนถูกปิดกิจการหรือถูกซื้อกิจการโดยนักลงทุนต่างชาติ
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 มีธุรกิจเหล็กปิดตัวไปแล้ว 75 ราย ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ผลิตรายกลางและรายเล็ก
ในปี 2567 อุตสาหกรรมเหล็กไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่อีกครั้งจากการขยายกำลังการผลิตของ “ซิน เคอ หยวน” ผู้ผลิตเหล็กสัญชาติจีน ที่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย
ซิน เคอ หยวนเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของจีนที่มีกำลังการผลิตต่อปีกว่า 100 ล้านตัน การเข้ามาตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทยของซิน เคอ หยวน จะทำให้ประเทศไทยมีกำลังการผลิตเหล็กเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตเหล็กไทยรายเดิม ๆ อย่างแน่นอน
หากอุตสาหกรรมเหล็กไทยไม่สามารถปรับตัวรับมือกับการแข่งขันจากเหล็กจีนได้ อาจทำให้อุตสาหกรรมเหล็กไทยต้องสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและถูกครอบงำโดยผู้ผลิตเหล็กต่างชาติในที่สุด
ธุรกิจเหล็กทรงยาว (บิลเลต) ของไทยกำลังเผชิญกับปัญหาความท้าทายครั้งใหญ่จากโรงงานเหล็กจากจีน สาเหตุหลักมาจากปัจจัย 2 อย่างด้วยกัน
จากปัจจัยทั้งสองประการข้างต้น ทำให้ธุรกิจเหล็กทรงยาวของไทยกำลังถูกบีบให้ต้องแข่งขันอย่างยากลำบาก และมีโอกาสสูงที่จะสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับโรงงานเหล็กจากจีน
การเข้ามาตั้งโรงงานเหล็กในประเทศไทยของนักลงทุนจีน กำลังสร้างความท้าทายให้กับผู้ประกอบการเหล็กไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากจีนมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า โดยเฉพาะต้นทุนวัตถุดิบ “กราไฟด์อิเล็กโทรด” ที่ปรับราคาสูงขึ้น 10 เท่าจาก 2,000 บาท เป็น 20,000 บาท ทำให้ต้นทุนการผลิตเหล็กเส้น-ลวดเหล็กของจีนลดลงกว่า 50%
นอกจากนี้ โรงงานเหล็กจีนยังใช้วิธีผลิตเต็มกำลังผลิตและเปิดราคาขายต่ำกว่าโรงงานเหล็กไทย เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดอย่างไม่กลัวขาดทุน ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเหล็กเส้น-ลวดเหล็กของไทยสูงขึ้นตามไปด้วย
การเข้ามาตั้งโรงงานเหล็กของจีนในประเทศไทย ยังช่วย “ปลดล็อก” การเข้าถึงงานจัดซื้อจัดจ้างในโครงการของรัฐบาลไทยอีกด้วย เนื่องจากเหล็กที่ผลิตจากโรงงานจีนในประเทศไทย กลายเป็น “สินค้าไทย” เข้าเงื่อนไขการจัดซื้อจัดจ้างที่ให้ใช้สินค้าไทย 90%
นอกจากนี้ เวลาประมูลสินค้า เหล็กจีนมีต้นทุน “ถูกกว่า” เหล็กไทยมาก ขณะที่เกณฑ์การประมูลเลือกใช้ราคา “ต่ำสุด” ทำให้เหล็กจีนที่เข้ามาตั้งโรงงานในไทย สามารถผ่านการคัดเลือกแบบสบายตัว
นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL เปิดเผยว่า ขณะนี้กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ เข้าขั้นวิกฤตและกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากหลายปัจจัยโดยเฉพาะการถูกดั้มราคา หรือการถูกทุ่มตลาด จากสินค้าจีนที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่า มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูป 9 เดือนสะสมจากจีน ในปี 2565 มีจำนวน 2,847,869 ตัน และปี 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,490,987 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 22.6% (ข้อมูลจาก สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย) บวกกับต้นทุนการผลิตจากการปรับตัวขึ้นของราคาพลังงาน ส่งผลให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไม่สามารถแข่งขันได้
นายประวิทย์ กล่าวต่อว่า ปัญหาดังกล่าวส่งผลให้อุตสาหกรรมเหล็กไทยกำลังเผชิญวิกฤต โดยผู้ประกอบการหลายรายต้องลดกำลังการผลิตหรือปิดกิจการ เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับเหล็กจีนได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการเหล็กไทยจึงเรียกร้องให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือ โดยเสนอมาตรการ 3 ประการ ได้แก่
นายประวิทย์ กล่าวว่า มิลล์คอนสตีลเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของไทย แต่ในปัจจุบันกำลังการผลิตของบริษัทฯ ลดลงจาก 600,000 ตัน/ปี เหลือเพียง 200,000 ตัน/ปี หรือใช้กำลังการผลิตเพียง 20-30% เท่านั้น สาเหตุหลักมาจากปริมาณเหล็กนำเข้าจากจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ราคาเหล็กในประเทศลดลง
“เรามีกำลังการผลิตแต่ใช้ไม่ได้ วิกฤตที่เกิดขึ้นทั้งหมดมิลล์คอนฯ และผู้ผลิตเหล็กในประเทศ ต่างวิตกกังวลอย่างมาก เพราะการใช้กำลังการผลิตที่ลดลง เป็นผลจากการอนุญาตให้ตั้งโรงงานผลิตเหล็กเส้นเพิ่มเติมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยไม่ได้ศึกษาความต้องการอย่างจริงจัง ทำให้กำลังการผลิตส่วนเกินเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นเหตุให้มีการแข่งขันเชิงการค้าขายอย่างสูง มีการหั่นราคาจนผู้ประกอบการเดิมต้องปิดตัวลงหลายรายในข่วง 5 ปี ที่ผ่านมา”
นายประวิทย์ ระบุว่า มิลล์คอนฯ ได้เสนอมาตรการและขอให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด เช่น มาตรการลดภาษีนำเข้าเหล็กเส้น มาตรการควบคุมการนำเข้าเหล็กเส้นจากจีน และมาตรการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเหล็กเกรดพิเศษ
นอกจากนี้ มิลล์คอนฯ ยังได้ปรับตัวหันไปสู่การผลิตเหล็กเกรดพิเศษ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และขยายตลาดเพิ่ม โดยบริษัทฯ ได้ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเหล็กเกรดพิเศษที่สามารถนำไปใช้กับโครงสร้างทางวิศวกรรมและยานยนต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ เพิ่มขึ้นในอนาคต
วิกฤตอุตสาหกรรมเหล็กไทยเป็นปัญหาที่ภาครัฐและผู้ประกอบการต้องร่วมมือกันแก้ไข หากไม่ดำเนินการอย่างเร่งด่วน อาจทำให้อุตสาหกรรมเหล็กไทยต้องสูญเสียศักยภาพและความสามารถในการแข่งขัน