สภาทองคำโลก (WGC) เปิดเผยว่า ความต้องการทองคำทั่วโลกในไตรมาส 1/2565 พุ่งขึ้นถึง 34% แตะ 1,234 ตัน เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมืองได้ผลักดันให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
แรงซื้อดังกล่าว ยังส่งผลให้ราคาทองปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 5% ในไตรมาส 1/2565 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2564 อีกด้วย
สำหรับแรงซื้อในไตรมาสแรกปีนี้ มาจากกลุ่มกองทุน ETF ที่แข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ โดยมีการถือครองทองคำเพิ่มขึ้น 269 ตัน สู่ระดับ 3,836 ตัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดอันดับที่สอง นับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2563
"ราคาทองคำที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง, ความอ่อนแอของตลาดหุ้น, อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศที่ไม่อาจคาดเดาได้ ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ผลักดันให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำอย่างคึกคักในไตรมาส 1 แม้ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ตาม" WGC ระบุในรายงาน
ส่วนในภาคของธนาคารกลางทั่วโลก ได้เข้าซื้อทองคำเป็นทุนสำรองประเทศเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปีที่แล้ว โดยพบว่าวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นเหตุผลอันดับแรกที่ทำให้ธนาคารกลางเข้าถือครองทองคำเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในส่วนของทองคำแท่ง และเหรียญทองคำ ลดลง 20% อยู่ที่ระดับ 282 ตัน ขณะที่ความต้องการอัญมณีลดลง 7% แตะ 474 ตัน โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการล็อกดาวน์เมืองสำคัญในประเทศจีน
ด้านปริมาณซัพพลายทองคำโดยรวมในตลาดโลก เพิ่มขึ้น 4% ในไตรมาส 1 แตะ 1,156.6 ตัน เนื่องจากอุปทานที่สูงขึ้นทั้งในเหมืองทองและการรีไซเคิล โดย WGC ระบุว่า การพุ่งขึ้นของราคาและการชะลอตัวของเศรษฐกิจเป็นปัจจัยผลักดันให้อัตราการรีไซเคิลทองคำปรับตัวขึ้น
นายคริสฮาน โกพอล นักวิเคราะห์ตลาดของ WGC กล่าวว่า แม้ราคาทองคำปรับตัวลงในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เนื่องจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐและการแข็งค่าของดอลลาร์เป็นปัจจัยกดดันตลาด แต่เชื่อว่าความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เงินเฟ้อและวิกฤตการณ์ในยูเครน จะยังคงเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำ
อย่างไรก็ตาม WGC คาดการณ์ว่า ความต้องการทองคำจะลดลงอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 2 เนื่องจากจีนขยายพื้นที่การล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19