โดยจากตัวเลขความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานั้น พบว่า
อันดับ 1 เงินบาท ไทย อ่อนค่าลง 3.7% มากที่สุด
อันดับ 2 เงินวอน เกาหลี อ่อนค่าลง 1.93%
อันดับ 3 เงินรูปี อินโดนีเซีย อ่อนค่าลง 1.68%
อันดับ 4 ดอง เวียดนาม อ่อนค่าลง 1.24%
อันดับ 5 ดอลลาร์สิงคโปร์ อ่อนค่าลง 1.19%
โดยระยะสั้น ค่าเงินบาทและค่าเงินสกุลอื่นๆ จะปรับตัวอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์ ขณะที่ตลาดตอบรับสัญญาณตรึงดอกเบี้ยสูงยาวนานของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) โดยผู้ร่วมตลาดคาดว่า เฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า เทียบกับการคาดการณ์เดิมที่อาจเริ่มลดดอกเบี้ยลงต้นปี
อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีดอลลาร์พุ่งขึ้น 11 สัปดาห์ติดต่อกัน สะท้อนข่าวร้ายของสกุลเงินต่างๆไปมากพอสมควรแล้ว
หากเศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น คาดว่าเงินบาทจะพลิกทิศทางกลับมาแข็งค่าได้บ้าง อีกทั้ง ปลายปีเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวซึ่งรัฐบาลพยายามสนับสนุนเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ประเด็นกดดันค่าเงินบาทยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก กระแสเงินทุนไหลออก รวมถึงการที่นักลงทุนไม่แน่ใจว่าการก่อหนี้ภาครัฐที่จะเพิ่มขึ้นนั้นคุ้มค่ากับการเติบโตทางเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด โดยวางเป้าหมายปิดสิ้นปี 2023 ที่ราว 35 บาท
ทั้งนี้ เงินบาทยังมีโอกาสอ่อนค่าต่อได้ หากตลาดการเงินเผชิญภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ซึ่งมักจะทำให้ เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น จากความต้องการถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
โดยมองแนวต้านเงินบาทในระยะสั้นแถว 36.50 บาทต่อดอลลาร์ แต่ต้องยอมรับว่า หากมีปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม จนเงินบาทอ่อนค่าทะลุระดับดังกล่าว ก็มีความเสี่ยงที่เงินบาทจะอ่อนค่าต่อได้เร็วไปแถว 36.75-36.85 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งจะเป็นแนวต้านถัดไป
สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้ นอกเหนือจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ คือ
ทั้งนี้ เรามองว่า แรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ อาจชะลอลงมากขึ้น หลังดัชนี SET ได้ย่อตัวใกล้โซนแนวรับสำคัญ ซึ่งทำให้ในเชิง valuation หุ้นไทยถือว่า ไม่แพงและถูกกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี แรงขายบอนด์ไทยอาจยังมีอยู่บ้าง จนกว่า นักลงทุนต่างชาติจะคลายกังวลประเด็นความเสี่ยงเสถียรภาพการคลังของไทย และที่สำคัญต้องเห็นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หยุดปรับตัวขึ้นหรือย่อตัวลง
3. ราคาน้ำมันดิบ ยังปรับตัวสูงขึ้นต่อ สร้างความกังวลต่อแนวโน้มดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ที่อาจเกิดดุลน้อยลง หรือ อาจเสี่ยงขาดดุลได้ หากราคาน้ำมันดิบทรงตัวเหนือระดับ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลขึ้นไป
นายพูน กล่าวต่ออีกว่า ค่าเงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นได้ไม่ยาก ตามการอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ เพราประเมินว่าภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ และ แนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ต่างจากเฟดชัดเจน ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังคงเกินดุลตามช่วงพีคซีซั่นของการท่องเที่ยว และฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาตที่จะกลับเข้าตลาดทุนไทยบ้าง
โดยกรุงไทยประเมินค่าเงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าใกล้ระดับ 33.75-34.25 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นปี ได้ (ปรับอ่อนค่าลง จากเดิม มองไว้ แถว 32.80 บาทต่อดอลลาร์)