ในที่สุดในวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา ‘สิงคโปร์’ ก็มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว นั่นก็คือ ‘ลอว์เรนซ์ หว่อง’ (Lawrence Wong) นายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของสิงคโปร์ที่มารับหน้าที่ต่อจากลีเซียนลุง ดูแลเศรษฐกิจของหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และเป็นศูนย์กลางการเงินและการค้าที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จากจำนวนนายกรัฐมนตรี หลายๆ คนอาจจะรู้สึกว่าเป็นตัวเลขที่น้อย แต่แท้จริงแล้ว สิงคโปร์เป็นประเทศที่อายุยังน้อยมาก เพราะเพิ่งได้รับเอกราชมาเมื่อปี 1965 ทำให้มีอายุยังไม่ถึง 59 ปี ซึ่งเมื่อนับเป็นอายุคนก็ยังไม่เกษียณอายุทำงานเสียด้วยซ้ำ
แต่แม้จะอายุยังน้อย มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติไม่มาก และมีพื้นที่เพียง 710 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเล็กกว่ากรุงเทพมหานคร สิงคโปร์กลับสามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว และใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบปีในการเปลี่ยนจากประเทศรายได้ต่ำมาเป็นประเทศที่มีรายได้สูงเป็นอันดับสามของโลกในปัจจุบัน
โดยหลังจากได้รับเอกราชเพียง 26 ปี ในปี 1991 รายได้ต่อหัวของสิงคโปร์ได้ทะลุระดับ 14,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัว ซึ่งเกินระดับรายได้ของประเทศรายได้สูงของธนาคารโลก ก่อนจะขึ้นมาเป็น 47,236.68 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัวในปี 2010 และขึ้นเกือบอีกเท่ามาเป็น 82,807.63 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัวในปี 2022 ขณะที่ไทยอยู่ที่ 6,909.96 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัวเท่านั้น
สิงคโปร์ทำอย่างไรจึงกลายมาเป็นประเทศรายได้สูงได้ในเวลาไม่ถึง 60 ปี?
เพื่อหาคำตอบ ในบทความนี้ SPOTLIGHT จึงอยากชวนทุกคนมาย้อนรอยดูพัฒนาการการเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาะเล็กๆ แห่งนี้กัน ผ่านการทำงานของนายกรัฐมนตรี 3 คนของสิงคโปร์ คือ ลีกวนยู (Lee Kuan Yew), โก๊ะจ๊กตง (Goh Chok Tong) และลีเซียนลุง (Lee Hsien Loong)
ก่อนไปพูดถึงการพัฒนาเศรษฐกิจของสิงคโปร์ในยุคปัจจุบัน ต้องย้อนกลับไปดูการพัฒนาเศรษฐกิจของสิงคโปร์ในช่วงที่ยังเป็นอาณานิคมกันก่อนว่าได้สร้างรากฐานไว้สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจสมัยใหม่ของสิงคโปร์ไว้อย่างไรบ้าง
ก่อนที่จะมาเป็นประเทศที่มีเอกราชในปัจจุบัน ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของสิงคโปร์เริ่มตึ้นขึ้นในปี 1819 หลังเซอร์ โธมัส แสตมฟอร์ด ราฟเฟิลส (Sir Thomas Stamford Raffles) ได้เดินทางมาถึงเกาะสิงคโปร์ และตั้งเกาะแห่งนี้เป็นท่าการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออก (British East India Company) เพราะมองว่ามีที่ตั้งที่เหมาะเป็นทางผ่านของสินค้าอังกฤษสู่อาเซียน คืออยู่ระหว่างคาบสมุทรมลายู และหมู่เกาะต่างๆ พอดี
การอยู่ใต้อาณานิคมของอังกฤษ ทำให้สิงคโปร์กลายสภาพจากเกาะชาวประมงที่มีผู้อยู่อาศัยเพียงประมาณ 150 คน กลายเป็นศูนย์กลางการค้าของภูมิภาค และเมืองท่าเสรีปลอดภาษี ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในระบบเศรษฐกิจเอเชียและตะวันตกขณะนั้น ทำให้เรือจากทั่วโลกสามารถค้าขายได้อย่างเสรีในสิงคโปร์ โดยมีการกำหนดภาษีสำหรับสินค้าบางประเภทเท่านั้น คือ ยาสูบ ฝิ่น แอลกอฮอลล์ และปิโตรเลียม
ในช่วงนั้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจสำคัญของสิงคโปร์คือการให้บริการท่าเรือ และการซื้อสินค้าเพื่อส่งออกต่อไปยังประเทศอื่น ทั้งจากอาเซียนและจีนไปสู่อินเดียและยุโรป และในทางกลับกัน
กิจกรรมเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นทำให้มีประชากรจากจีน อินเดีย และประเทศอาหรับอพยพเข้าไปตั้งรกรากทำงานในสิงคโปร์เป็นจำนวนมาก โดยในปี 1836 สิงคโปร์มีประชากรเพิ่มเป็นถึง 30,000 คน ซึ่งการที่มีคนหลากหลายเชื้อชาติและภาษาเข้าไปอยู่ในสิงคโปร์นี้เอง จะเป็นปัจจัยที่ทำให้สิงคโปร์มีจุดเด่นและข้อได้เปรียบในด้านคุณภาพและความหลากหลายของแรงงานในอนาคต
ในปี 1869 การค้าของสิงคโปร์คึกคักขึ้นไปอีกหลังจากมีการขุดคลองสุเอซ ซึ่งช่วยร่นระยะทางเดินเรือให้เรือสินค้าไม่ต้องเดินทางข้ามแหลมกู้ดโฮป ทำให้การขนส่งสินค้าจากตะวันตกมาเอเชียทำได้ง่ายขึ้น และทำให้สิงคโปร์เป็นทางผ่านของสินค้าสำคัญมากมาย เช่น ยางพารา ดีบุก ฝ้าย ผ้าขนสัตว์ และฝิ่น
การเปิดคลองสุเอซส่งผลให้มูลค่าการค้าของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจาก 70.8 ล้านเหรียญสิงคโปร์ในปี 1870 มาเป็น 653.8 ล้านเหรียญสิงคโปร์ในปี 1915 และ 1,886.7 ล้านเหรียญสิงคโปร์ ในปี 1926
โดยปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของสิงคโปร์ ในช่วงปี 1819-1942 ได้แก่
อย่างไรก็ตาม ในปี 1941 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อสิงคโปร์ตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น เศรษฐกิจสิงคโปร์ประสบภาวะชะงักงันอย่างรุนแรงจากภาวะสงคราม จนแม้ในปี 1945 หลังสิงคโปร์กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษอีกครั้ง เหล่าชนชั้นนำของสิงคโปร์ก็รู้ว่าประเทศจะพึ่งการค้าขายในฐานะเมืองท่าต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
ในช่วง 20 ปีระหว่างปี 1945-1965 นี้เอง การเปลี่ยนแปลงสำคัญของการเมืองและเศรษฐกิจสิงคโปร์ จึงเกิดขึ้น ในด้านการเมืองคือการเปลี่ยนผ่านจากระบอบอาณานิคมไปสู่การได้รับเอกราชและก่อตั้งสาธารณรัฐสิงคโปร์ และในด้านเศรษฐกิจ คือการเริ่มสร้างอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อลดการพึ่งพาเศรษฐกิจแบบนำเข้าเพื่อส่งออกอย่างที่ผ่านมา
การเปลี่ยนผ่านนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการขึ้นมามีอำนาจของ ‘พรรคกิจประชาชน (People’s Action Party)’ ที่นำโดย ‘ลีกวนยู (Lee Kuan Yew)’ ซึ่งจะกลายมาเป็นพรรคที่ครองอำนาจการเมืองเดียวของสิงคโปร์ตั้งแต่ได้รับเอกราชจนถึงปัจจุบัน
‘ลีกวนยู’ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปที่จัดขึ้นในปี 1959 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่สิงคโปร์ได้เอกราชจากอังกฤษ และกลายเป็นเมืองหนึ่งของมาเลเซีย และได้เริ่มดำเนินนโยบายแทรกแซงการค้าทันทีเพื่อสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจและปั้นอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ
โดยในช่วงแรกรัฐบาลได้ดำเนินยุทธศาสตร์และนโยบายการผลิตเพื่ออุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้า ด้วยการจำกัดการนำเข้าเพื่อสนับสนุนสินค้าที่ผลิตในประเทศ และเข้าร่วมกับสหพันธรัฐมาเลเซียเพื่อสร้างตลาดการค้าภายในครอบคลุมทั่วมาลายาและป้องกันอุตสาหกรรมแรกเกิด
ในปี 1959 รัฐบาลได้ออกบทบัญญัติ 2 ฉบับคือ ‘บทบัญญัติอุตสาหกรรมรุ่นบุกเบิก’ และ ‘บทบัญญัติส่งเสริมการขยายตัวทางอุตสาหกรรม’ เพื่อละเว้นภาษีเป็นระยะเวลา 2-5 ปี ให้กับบริษัทต่างๆ ที่ลงทุนในสิงคโปร์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้แรงงานจำนวนมาก (Labor-intensive Industries) และธุรกิจปิโตรเลียม
ในปี 1961 รัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic Development Board: EDB) ขึ้นมาเพื่อ ส่งเสริมการก่อตั้งอุตสาหกรรมใหม่และอุตสาหกรรมเดิมที่มีอยู่แล้ว โดยมีอำนาจในการคัดเลือกและอนุมัติสิทธิพิเศษให้กับบริษัทรุ่นบุกเบิกที่ต้องการเข้ามาตั้งโรงงานหรือทำธุรกิจใหม่ในสิงคโปร์
ในช่วงนี้ เศรษฐกิจของสิงคโปร์พึ่งพาการผลิต การส่งออก และการท่องเที่ยว ซึ่งเน้นพึ่งพาแรงงานทักษะต่ำเป็นหลัก และอุตสาหกรรมที่เติบโตในช่วงนี้ได้แก่ อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อุตสาหกรรมการเงิน อุตสาหกรรมประกันภัย อุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมโรงกลั่น ที่มีผู้บุกเบิกคือ ‘เชลล์’ ซึ่งมองว่าสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการกลั่นและกระจายผลิตภัณฑ์ทางปิโตรเลียมที่ดี
นอกจากนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ยังได้มีการเร่งพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ด้วยการตั้ง ‘การเคหะแห่งชาติสิงคโปร์’ เพื่อสร้างที่พักอาศัยราคาถูกให้กับประชาชนที่ยังมีรายได้ต่ำในประเทศ รวมไปถึงสร้างและพัฒนาทุนมนุษย์ โดยนำระบบการเรียนการสอนแบบทวิภาษา (Bilingualism) มาใช้ และจัดการศึกษาระดับประถมแบบทั่วหน้าโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ แม้สิงคโปร์จะประสบความสำเร็จในการการลดการพึ่งพาการนำเข้า และกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมได้ การผลิตสินค้าป้อนตลาดภายในประเทศ และพื้นที่ใกล้ๆ ก็ไม่สามารถรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ ทำให้สิงคโปร์มีปัญหาการว่างงานสูงในขณะนั้น
ดังนั้น หลังจากปี 1965 มาซึ่งเป็นปีที่สิงคโปร์ได้รับเอกราชจากมาเลเซีย รัฐบาล ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของลีกวนยูได้ดำเนินนโยบายเพื่อมุ่งขยายการส่งออก บอร์ด EDB ออกมาตรการดึงดูดให้โรงงานการผลิตเพื่อการส่งออกมาตั้งในสิงคโปร์ ทั้งด้วยทำเลที่ตั้งที่เหมาะกับการเป็นท่าเรือกระจายสินค้า โครงสร้างพื้นฐานในการขนส่ง และแรงงานราคาถูกจำนวนมาก
ต่อมาในปี 1967 รัฐบาลยังได้ออก Economic Expansion Incentives Act เพื่อลดภาษีให้กับบริษัทผู้ผลิตที่ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก ปัจจัยนี้ประกอบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และการย้ายฐานการผลิตเสื้อผ้าจากประเทศเอเชียอื่นๆ มายังสิงคโปร์ ทำให้การลงทุนจากต่างประเทศมาที่สิงคโปร์เพิ่มขึ้นมากในช่วงนี้ โดยในช่วงปี 1968-1973 การลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมการผลิตของสิงคโปร์มีมูลค่ารวมมากว่า 2.3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์
การขยายตัวของภาคการผลิตและส่งออก ทำให้ภาคการเงินและการประกันภัยของสิงคโปร์ได้รับประโยชน์ไปด้วยในฐานะหนึ่งในศูนย์กลางการค้าหลักระหว่างตะวันตกและตะวันออก
โดยในปี 1968 Bank of America ได้ตั้งตลาดและสกุลเงินดอลลาร์เอเชียขึ้นในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ขึ้นมาเป็นค่าเงินสำคัญในตลาดการเงิน ในฐานะที่เป็นสกุลเงินของศูนย์กลางการค้าสำคัญ
ความสำเร็จของการขยายเศรษฐกิจในช่วงนี้ทำให้รายได้ของชาวสิงคโปร์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มจาก 516.53 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัวในปี 1965 ขึ้นมาเป็น 1,685.46 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัวในปี 1973 และทำให้สิงคโปร์เริ่มขาดแคลนแรงงาน และต้องเปิดรับแรงงานจากต่างประเทศเข้าไปทำงาน
หลังจากที่สิงคโปร์ได้สร้างอุตสาหกรรมการผลิตและการส่งออกจนค่อนข้างแข็งแรงแล้ว ในช่วงปี 1973-1984 รัฐบาลสิงคโปร์ซึ่งยังอยู่ภายใต้การนำของลีกวนยูก็เริ่มตั้งเป้าขยายอุตสาหกรรมการผลิตระดับสูงที่ใช้แรงงานทักษะสูงขึ้น เช่น การผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร และยา เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับคนในประเทศ
ในช่วงกลางปี 1970s คณะกรรมการการพัฒนาสิงคโปร์ได้ออกมาตรการยกเว้นภาษี 5 ปีให้กับบริษัทที่มีเทคโนโลยีระดับสูงเข้ามาตั้งโรงงานและสำนักงานในสิงคโปร์ รวมไปถึงออกนโยบายสนับสนุนในโรงงานต่างๆ พัฒนาทักษะแรงงานในด้านเทคโนโลยี และให้นำเครื่องจักรกลเข้าไปช่วยทำงานมากยิ่งขึ้น
นโยบายเหล่านี้ทำให้ในช่วงนี้สิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการดึงดูดบริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับสูง เช่น ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ แพคเกจซอฟต์แวร์ เซมิคอนดักเตอร์ และแผ่นซิลิกอนเข้ามาตั้งโรงงานในประเทศ รวมถึง การตั้งสำนักงานในสิงคโปร์เพื่อดูแลการทำงานของโรงงาน เพราะมองว่าที่ตั้งของสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าและส่งออก อีกทั้งยังมีแรงงานที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและภาษา
ในขณะเดียวกันเพื่อผลิตแรงงานที่มีความสามารถ สิงคโปร์ก็เร่งพัฒนาระบบการศึกษาอย่างมากด้วยในช่วงนี้ เช่น การตั้งศูนย์ฝึกอาชีพระหว่าง EDB และบริษัทต่างๆ ที่เข้าไปตั้งฐานการผลิตในสิงคโปร์ การตั้งโรงเรียนอาชีวะและเทคนิค เช่น สถาบันญี่ปุ่น-สิงคโปร์, สถาบันฝรั่งเศส-สิงคโปร์, สถาบันเยอรมนี-สิงคโปร์ ที่ในภายหลังจะยุบรวมกันเป็น วิทยาลัยอาชีวะ นันยาง โพลีเทคนิค ในปี 1993 รวมไปถึงมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ในปี 1980
ในช่วงปี 1980-1989 สิงคโปร์เริ่มใช้แผนปฏิวัติอุตสาหกรรมฉบับที่ 2 เพื่อที่จะเปลี่ยนอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศจากที่พึ่งพาแรงงาน หรือ labor-intensive มาเป็น capital-intensive หรืออุตสาหกรรมที่ใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในการผลิต และใช้แรงงานน้อย ไม่ว่าจะเป็นการผลิตอุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ด้านชีวะการแพทย์ต่างๆ
ในช่วงนี้ สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้ามูลค่าสูง ขณะที่บริษัทต่างๆ ย้ายฐานการผลิตสินค้ามูลค่าต่ำไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่ยังตั้งสำนักงานภูมิภาคที่สิงคโปร์
ก่อนที่ในช่วงปี 1990s ถึงช่วงต้นช่วงปี 2000s ซึ่งรัฐบาลของสิงคโปร์เปลี่ยนมาอยู่ในการดูแลของนายกรัฐมนตรีคนที่สองหรือ ‘โก๊ะจ๊กตง’ แล้ว แผนการพัฒนาเศรษฐกิจ เงินลงทุน และการสนับสนุนจากรัฐบาลจะเบี่ยงมาที่การคิดค้นและสร้างเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ เพื่อเสริมขีดการแข่งขันในโลกธุรกิจที่ต้องพึ่งพาระบบดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงนี้รัฐบาลสิงคโปร์มีการจัดตั้งสำนักงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและวิจัย เพื่อส่งเสริมการค้นคว้า รวมไปถึงสร้างสภาวิจัยต่างๆ เช่น สภาวิจัยชีวการแพทย์ สภาวิจัยวิศวกรรมศาสตร์ รวมไปถึงการให้ทุนการศึกษาบุคคลไปเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์ในต่างประเทศ และภายในประเทศ เพื่อผลิตบุคลากรทักษะสูงมารองรับนโยบายการวิจัยและพัฒนาของประเทศ
การดำเนินนโยบายเหล่านี้ ทำให้เมื่อ ‘ลีเซียนลุง’ ขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2004 สิงคโปร์ก็กลายเป็นประเทศศูนย์กลางการผลิตสินค้ามูลค่าสูงและการเงินที่สำคัญของโลก และพร้อมที่จะพัฒนาต่อไปด้วยแรงงานทักษะสูง ที่จะมาสร้างนวัตกรรมมูลค่าสูงให้กับประเทศ ซึ่งทำให้สิงคโปร์ยังมีข้อได้เปรียบเหนือประเทศอื่นแม้มีทรัพยากรธรรมชาติน้อยกว่า คล้ายกับสหรัฐฯ ที่เศรษฐกิจโตได้หลักๆ ด้วยการขายเทคโนโลยีที่ประเทศอื่นไม่สามารถเลียนแบบได้
ในการดูแลของลีเซียนลุง สิงคโปร์กลายเป็นฐานที่ตั้งของสตาร์ทอัพมากมายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น Grab, Lazada, Sea (เจ้าของ Shopee) ซึ่งล้วนแต่เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูง และมีอิทธิพลสูงมากในตลาดอาเซียนปัจจุบัน
นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังพัฒนาอย่างรวดเร็วในฐานะเมืองท่องเที่ยว ทั้งด้วยการปรับปรุงสนามบินชางงีให้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ การปรับเมืองให้มีพื้นที่สีเขียว และการดึงอีเวนท์การแสดงและการแข่งขันกีฬาเข้าไปจัดในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขัน Formula One หรือล่าสุดก็คือการแสดงของนักร้องสาวเทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับสิงคโปร์ ซึ่งทั้งหมดเป็นเพราะรัฐบาลสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งสาธารณะ และสถานที่จัดงานให้ทันสมัยและมีมาตรฐานระดับโลก
จากกลยุทธ์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของสิงคโปร์จะเห็นได้ว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้สิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ตั้งที่ทำให้สิงคโปร์มีชื่อเสียง โครงสร้างพื้นฐาน และความเชี่ยวชาญมานานในฐานะเมืองท่า และโครงสร้างประชากรสังคมที่มีความหลากหลายและได้เปรียบทางด้านภาษา
ทั้งนี้ ในสิงคโปร์สมัยใหม่ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจก็คือการดำเนินนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะ ‘นโยบายด้านภาษี’ เพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมที่เหมาะสมกับการพัฒนาเศรษฐกิจเข้าไปในประเทศ ที่ถูกวางแผนมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และเรียกได้ว่า ‘ถูกเวลา’ สำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในขณะนั้น
ในช่วงหลังสงครามที่เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัวและขยายตัว ทำให้ความต้องการสินค้าเพิ่มมากขึ้น สิงคโปร์เดินหมากถูกด้วยการสร้างอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพแรงงาน และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับที่สูงขึ้น ทำให้การขยับขั้นขึ้นมาผลิตสินค้ามูลค่าสูงที่มีความซับซ้อนในช่วงปี 1980s-1990s เป็นไปอย่างราบรื่น
จากแผนการพัฒนาที่มีการสืบทอดมาเรื่อยๆ อย่างไม่ขาดตอนโดยนายกรัฐมนตรีจากพรรคเดียว สิงคโปร์กลายสภาพจากประเทศรายได้ต่ำมาเป็นรายได้สูงในเพียงชั่วอายุคนเดียว คือจากเพียง 428.06 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัวในปี 1960 มาเป็น 14,502.38 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัว ซึ่งเกินระดับรายได้ของประเทศรายได้สูง ในปี 1991 ก่อนจะขึ้นมาเป็น 47,236.68 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัวในปี 2010 และขึ้นเกือบอีกเท่ามาเป็น 82,807.63 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัวในปี 2022 ขณะที่ไทยอยู่ที่ 6,909.96 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัวเท่านั้น
ปัจจุบัน รายได้หลักของสิงคโปร์มาจากการค้าส่ง ภาคการผลิต และการเงินและประกันภัยที่สร้างรายได้ 22.3%, 18.6% และ 13.8% ของ GDP ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกสำคัญได้แก่ ชิปเซ็ต น้ำมันที่ผ่านกระบวนการกลั่นแล้ว และเครื่องมือสำหรับผลิตชิปเซ็ต หรือเซมิคอนดักเตอร์
อ้างอิง: IMF 1, IMF 2, FEP Financial Club, Petir