อินไซต์เศรษฐกิจ

10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา

5 ก.ย. 67
10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา

ใครว่าประเทศที่รวยที่สุดในโลกต้องมีขนาดใหญ่? บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาคุณไปพบกับ 10 ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แม้หลายประเทศจะมีขนาดเล็กจิ๋ว แต่ความมั่งคั่งของพวกเขากลับยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ! แม้จะเผชิญกับวิกฤตโรคระบาด เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของพวกเขาก็แทบไม่สั่นคลอน

มาดูกันว่า 10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลกในปี 2024 มีประเทศใดบ้าง และอะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของพวกเขา? หมายเหตุ การจัดอันดับนี้พิจารณาจากกำลังซื้อต่อหัวต่อปี (PPP) ซึ่งสะท้อนถึงค่าครองชีพที่แท้จริงของประชากรในแต่ละประเทศ


10 ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก ประเทศไทยอยู่อันดับที่เท่าไร


10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา

10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา

รู้หรือไม่หลายประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกนั้น กลับมีขนาดเล็กจิ๋วอย่างไม่น่าเชื่อ! แม้จะเผชิญกับวิกฤตการณ์ใหญ่ๆ อย่างโรคระบาด เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และความผันผวนทางการเมือง แต่ความมั่งคั่งมหาศาลของพวกเขาก็แทบจะไม่สะเทือนเลยทีเดียว และต่อไปนี้คือการจัดอันดับจากเว็บไซต์ Global Finance ว่า 10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก โดยเราจะเริ่มจากประเทศที่รวยที่สุดอันดับที่ 10 และไปจนถึงประเทศที่รวยที่สุดอันดับ 1 ของโลกในปี 2024 มีประเทศใดบ้าง

อันดับที่ 10 ประเทศ นอร์เวย์ (Norway)

10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา

กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 82,832 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 2,695,000 บาทต่อปี และราว 224,583 บาทต่อเดือน

  • นับตั้งแต่การค้นพบแหล่งน้ำมันนอกชายฝั่งครั้งใหญ่ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 น้ำมันได้กลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจนอร์เวย์ ในฐานะผู้ผลิตปิโตรเลียมชั้นนำของยุโรปตะวันตก ประเทศนี้ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นมาเป็นระยะเวลานาน แต่แล้วสถานการณ์ก็พลิกผัน เมื่อราคาน้ำมันดิ่งเหวในช่วงต้นปี 2020 ตามมาด้วยการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ส่งผลให้ค่าเงินโครนนอร์เวย์ร่วงลงอย่างหนัก ในไตรมาสที่สองของปีนั้น GDP ของนอร์เวย์ลดลงถึง 6.3% ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษ หรืออาจจะนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง
  • อย่างไรก็ดี สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้บ่งชี้ว่าความมั่งคั่งของชาวนอร์เวย์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากผ่านพ้นช่วงวิกฤต เศรษฐกิจก็ค่อยๆ ฟื้นตัวและกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง นอกจากนี้ ในกรณีที่เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจที่ไม่คาดคิด ชาวนอร์เวย์ยังมีกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติมูลค่ากว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 47.6 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นหลักประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเลข GDP ต่อหัวที่สูงของนอร์เวย์ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอยู่ที่ดีทางเศรษฐกิจของประชากรโดยเฉลี่ยได้อย่างน่าเชื่อถือ เนื่องจากประเทศนี้มีช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่แคบที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

อันดับที่ 9 ประเทศ สหรัฐอเมริกา (United States)

10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา

กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 85,373 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 2,902,681.48 บาทต่อปี และราว 241,890 บาทต่อเดือน

  • เราเคยกล่าวไว้หรือไม่ว่าประเทศที่ร่ำรวยที่สุดมักจะเป็นประเทศขนาดเล็ก? กรณีของสหรัฐอเมริกาพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่เป็นเช่นนั้น โดยสหรัฐอเมริกาเพิ่งเข้าสู่ 10 อันดับแรกในปี 2020 หลังจากที่อยู่ในอันดับใกล้เคียงมาเกือบสองทศวรรษ การทะยานขึ้นมาของสหรัฐฯ ในช่วงแรก ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากมาตรการทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกี่ยวข้องกับการระบาดใหญ่ ซึ่งช่วยกระตุ้นรายได้และการใช้จ่าย และจากราคาพลังงานที่ลดลง ซึ่งทำให้เศรษฐกิจที่อิงกับปิโตรเลียมอย่างกาตาร์ นอร์เวย์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตกลงมาหลายอันดับ ขณะที่บรูไนหลุดออกจาก 10 อันดับแรกไปเลย
  • อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาสามารถรักษาโมเมนตัมและคงสถานะอยู่ในกลุ่มประเทศชั้นนำได้ ไม่เพียงแต่สหรัฐฯ จะฟื้นตัวจากภาวะถดถอยที่สั้นที่สุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นปี 2020 ซึ่งกินเวลาเพียงสองเดือน แต่เศรษฐกิจของประเทศยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในเดือนเมษายน IMF ได้ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 2024 เป็น 2.7% (สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้าถึง 0.6%) และตามการประเมินของกองทุน IMF การเติบโตของสหรัฐฯ ในปีนี้จะเป็น "ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตทั่วโลก"

อันดับที่ 8 ประเทศ ซานมารีโนา (San Marino)

10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา

กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 86,989 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 2,957,625.47 บาทต่อปี และราว 246,468 บาทต่อเดือน

  • ซานมารีโน สาธารณรัฐที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปและเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก แม้จะมีพลเมืองเพียง 34,000 คน แต่กลับเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งสูง อัตราภาษีเงินได้ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรปถึงประมาณหนึ่งในสามมีส่วนช่วยในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ซานมารีโนกำลังดำเนินการเพื่อให้กฎหมายและข้อบังคับทางการคลังของตนสอดคล้องกับสหภาพยุโรปและมาตรฐานสากล
  • แต่ประเทศเล็กๆแห่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นตัวที่โดดเด่นในช่วงการระบาดใหญ่และหลังจากนั้น ท่ามกลางสภาวะทางการเงินที่ตึงตัวและวิกฤตพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและภาคการผลิตที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่แข็งแกร่ง

อันดับที่ 7 ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland)

10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา

กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 91,932 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 3,125,687.44 บาทต่อปี และราว 260,473 บาทต่อเดือน

  • สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศต้นกำเนิดของสิ่งประดิษฐ์ที่โดดเด่นหลายอย่าง อาทิ ช็อกโกแลตขาว, รถเลื่อนหิมะ, มีดพกสวิส, เมาส์คอมพิวเตอร์, เครื่องปั่นแบบจุ่ม, เวลโคร และ LSD ประเทศที่มีประชากรประมาณ 8.8 ล้านคนนี้ สร้างความมั่งคั่งหลักจากภาคบริการด้านธนาคารและประกันภัย การท่องเที่ยว และการส่งออกผลิตภัณฑ์ยา อัญมณี โลหะมีค่า เครื่องมือที่มีความแม่นยำ (เช่น นาฬิกา) และเครื่องจักร (อุปกรณ์ทางการแพทย์และคอมพิวเตอร์)
  • รายงาน Global Wealth Report ปี 2023 โดย Credit Suisse ระบุว่า สวิตเซอร์แลนด์ยังคงเป็นผู้นำในด้านความมั่งคั่งเฉลี่ยต่อผู้ใหญ่ ซึ่งสูงถึง 685,230 ดอลลาร์ นอกจากนี้ ประมาณหนึ่งในหกของผู้ใหญ่มีทรัพย์สินมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จึงไม่น่าแปลกใจที่สวิตเซอร์แลนด์มีจำนวนเศรษฐีต่อประชากรสูงที่สุดในโลก
  • อย่างไรก็ตาม สวิตเซอร์แลนด์ก็ไม่ได้รอดพ้นจากปัญหาเศรษฐกิจ การระบาดใหญ่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมาก และเนื่องจากประเทศต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียเป็นอย่างมาก สงครามในยูเครนจึงทำให้ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้นและก่อให้เกิดปัญหาห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ ในปี 2022 Credit Suisse เกือบจะล่มสลาย ก่อนที่รัฐบาลจะเข้าแทรกแซงโดยให้ UBS Group ซึ่งเป็นคู่แข่งมายาวนานเข้าซื้อกิจการ การล่มสลายของ Credit Suisse ส่งผลกระทบต่อประเทศ ทำให้ชื่อเสียงของสวิตเซอร์แลนด์ในฐานะศูนย์กลางการธนาคารระดับโลกที่มั่นคงและน่าเชื่อถือสั่นคลอน
  • นอกจากนี้ เมื่อปีที่แล้ว ธนาคารแห่งชาติสวิส (SNB) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก -0.75% เป็น 1.75% เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ การดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้ต้นทุนการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ประเทศกำลังประสบกับภาวะส่งออกที่ตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปยังเยอรมนี ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับสองของสวิตเซอร์แลนด์รองจากสหรัฐฯ และกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจเช่นกัน

อันดับที่ 6 ประเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates)

10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา

กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 96,846 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 3,292,763.41 บาทต่อปี และราว 274,396 บาทต่อเดือน

  • ในอดีต เศรษฐกิจของประเทศริมอ่าวเปอร์เซียแห่งนี้เคยขึ้นอยู่กับภาคการเกษตร การประมง และการค้าไข่มุกเป็นหลัก จนกระทั่งมีการค้นพบน้ำมันในช่วงทศวรรษ 1950 ซึ่งนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ปัจจุบัน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีประชากรที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมีความมั่งคั่งในระดับสูง สถาปัตยกรรมอิสลามแบบดั้งเดิมผสมผสานกับศูนย์การค้าที่ทันสมัย ดึงดูดแรงงานจากทั่วทุกมุมโลกด้วยข้อเสนอเงินเดือนปลอดภาษีและสภาพอากาศที่อบอุ่นตลอดปี มีเพียงประมาณ 20% ของประชากรในประเทศที่เป็นพลเมืองโดยกำเนิด
  • เศรษฐกิจของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กำลังมีความหลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจากภาคไฮโดรคาร์บอนที่เป็นกำลังสำคัญมาอย่างยาวนาน ภาคการท่องเที่ยว การก่อสร้าง การค้า และการเงินก็เป็นอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญ อย่างไรก็ตาม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการระบาดใหญ่และราคาน้ำมันที่ตกต่ำลงได้ ในช่วงเวลาหนึ่ง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หลุดจากการจัดอันดับประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกของ IMF เป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ แต่เมื่อราคาพลังงานฟื้นตัว ประเทศก็สามารถกลับสู่ตำแหน่งใน 10 อันดับประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้อย่างรวดเร็ว

อันดับที่ 5 ประเทศ กาตาร์ (Qatar)

10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา

กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 112,283 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 3,817,621.32 บาทต่อปี และราว 318,135 บาทต่อเดือน

  • แม้ว่าราคาจะเริ่มฟื้นตัวบ้างแล้ว แต่ราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยก็ยังคงลดลงตั้งแต่กลางทศวรรษ 2010 ในปี 2014 รายได้ต่อหัวของชาวกาตาร์สูงถึง 5,170,000 บาท แต่เพียงปีเดียวหลังจากนั้น รายได้ก็ลดลงฮวบฮาบ และยังคงต่ำกว่า 3,600,000 บาท เป็นเวลาถึง 5 ปี อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละประมาณ 360,000 บาทในแต่ละปี แต่ถึงกระนั้น ด้วยปริมาณสำรองน้ำมัน ก๊าซ และปิโตรเคมีที่มหาศาล ประกอบกับจำนวนประชากรที่น้อยนิด เพียง 3 ล้านคน ทำให้ดินแดนแห่งสถาปัตยกรรมล้ำยุค ห้างสรรพสินค้าหรูหรา และอาหารเลิศรสแห่งนี้ ยังคงสามารถครองตำแหน่งประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกมาได้นานถึง 20 ปี
  • แต่ในช่วงแรกของการระบาดของโควิด-19 มีเพียงประมาณ 12% ของประชากรในประเทศที่เป็นชาวกาตาร์ ทำให้เกิดการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในหมู่แรงงานข้ามชาติที่มีรายได้น้อย ซึ่งอาศัยอยู่ในที่พักแออัด ส่งผลให้กาตาร์มีอัตราผู้ติดเชื้อสูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค จากนั้น ราคาน้ำมันที่ลดลงก็ส่งผลให้รายได้ของรัฐบาลและภาคเอกชนลดลงตามไปด้วย ในฐานะประเทศที่มีเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออก กาตาร์ยังได้รับผลกระทบจากการหยุดชะงักของการค้าโลกที่เกิดจากสงครามในยูเครน ต่อมา ความขัดแย้งในฉนวนกาซาก็จุดประกายความหวาดกลัวและความไม่แน่นอนครั้งใหม่ทั่วตะวันออกกลาง ถึงกระนั้น จนถึงขณะนี้ เศรษฐกิจของกาตาร์ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตประมาณ 2% ในปี 2024 และ 2025

อันดับที่ 4 ประเทศ สิงคโปร์ (Singapore)

10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา

กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 133,737 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 4,547,057.18 บาทต่อปี และราว 378,921 บาทต่อเดือน

  • นายเอ็ดวาร์โด ซาเวริน ผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊กชาวอเมริกัน ถือเป็นบุคคลผู้มั่งคั่งที่สุดในสิงคโปร์ ด้วยทรัพย์สินมูลค่ารวมกว่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2011 เขาตัดสินใจละทิ้งสัญชาติอเมริกันพร้อมกับหุ้นบริษัทจำนวน 53 ล้านหุ้น และได้สถานะผู้พำนักถาวรของสิงคโปร์ เช่นเดียวกับมหาเศรษฐีและนักลงทุนรายอื่น ๆ การตัดสินใจครั้งนี้ของซาเวรินไม่ได้มีเพียงแค่แรงดึงดูดจากความเจริญและธรรมชาติของประเทศ แต่สิงคโปร์ยังเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่น่าสนใจ ด้วยนโยบายยกเว้นภาษีกำไรจากการลงทุนและเงินปันผล
  • สิงคโปร์มีกลยุทธ์อย่างไรในการดึงดูดบุคคลที่มีสินทรัพย์สูงเหล่านี้? ย้อนกลับไปในปี 1965 ขณะที่สิงคโปร์เพิ่งได้รับเอกราช ประชากรกว่าครึ่งหนึ่งยังไม่รู้หนังสือ ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่จำกัด สิงคโปร์จึงมุ่งมั่นพัฒนาตนเองด้วยการทำงานอย่างหนักและนโยบายที่ชาญฉลาด จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในประเทศที่เอื้อต่อการลงทุนและทำธุรกิจมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ปัจจุบัน สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการค้า การผลิต และการเงินที่สำคัญ และอัตราการรู้หนังสือของประชากรวัยผู้ใหญ่สูงถึง 98%
  • อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดใหญ่ได้ ในปี 2020 เศรษฐกิจของประเทศหดตัวลง 3.9% นับเป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษที่สิงคโปร์ต้องเผชิญกับภาวะถดถอย แม้ในปี 2021 เศรษฐกิจจะฟื้นตัวด้วยอัตราการเติบโตที่ 8.8% แต่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าหลัก ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ฉุดรั้งการฟื้นตัว ปัญหาทางเศรษฐกิจของจีนส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการผลิตของสิงคโปร์ ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 20% ของ GDP โดยรวม ในปี 2023 เศรษฐกิจขยายตัวเพียง 1% และคาดการณ์ว่าจะเติบโตไม่เกิน 2% ในปี 2024 และ 2025

อันดับที่ 3 ประเทศ ไอร์แลนด์ (Ireland)

10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา

กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 133,895 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 4,552,429.18 บาทต่อปี และราว 379,369 บาทต่อเดือน

  • สาธารณรัฐไอร์แลนด์ มีประชากรประมาณ 5.3 ล้านคน ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในช่วงปี 2008-2009 หลังจากการดำเนินมาตรการปฏิรูปที่ท้าทายทางการเมือง เช่น การปรับลดงบประมาณค่าจ้างภาครัฐและการปรับโครงสร้างภาคธนาคาร ไอร์แลนด์ก็สามารถฟื้นฟูเสถียรภาพทางการคลัง กระตุ้นอัตราการจ้างงาน และมีอัตราการเติบโตของ GDP ต่อหัวที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • ไอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีนโยบายภาษีที่เอื้อต่อบริษัทข้ามชาติมากที่สุดในโลก ซึ่งส่งผลประโยชน์ต่อบริษัทข้ามชาติมากกว่าประชาชนชาวไอริชโดยทั่วไป ในช่วงกลางทศวรรษ 2010 บริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ หลายแห่ง อาทิ Apple, Google, Microsoft, Meta และ Pfizer ได้ย้ายฐานภาษีไปยังไอร์แลนด์เพื่อใช้ประโยชน์จากอัตราภาษีนิติบุคคลที่ต่ำเพียง 12.5% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่น่าดึงดูดที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ในปี 2023 บริษัทข้ามชาติเหล่านี้มีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของไอร์แลนด์รวมกันมากกว่า 50% หากไอร์แลนด์ปรับใช้อัตราภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำ 15% ตามที่ OECD เสนอและหลายประเทศได้นำไปปฏิบัติแล้ว ก็อาจส่งผลให้ไอร์แลนด์สูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขัน
  • แม้ว่าครัวเรือนชาวไอริชจะมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่รายได้สุทธิต่อหัวของครัวเรือนยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรปโดยรวมเล็กน้อย ตามข้อมูลจาก OECD ด้วยช่องว่างระหว่างกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูงสุดและต่ำสุดที่ยังคงมีอยู่ (กลุ่มประชากร 20% แรกมีรายได้เกือบห้าเท่าของกลุ่มประชากร 20% สุดท้าย) ชาวไอริชส่วนใหญ่อาจไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปที่ว่าพวกเขาอยู่ในกลุ่มคนร่ำรวยที่สุดในโลก

อันดับที่ 2 ประเทศ มาเก๊า (Macao SAR)

10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา

กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 134,141 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 4,560,793.18 บาทต่อปี และราว 380,066 บาทต่อเดือน

  • เมื่อไม่นานมานี้ หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า "ลาสเวกัสแห่งเอเชีย" แห่งนี้กำลังก้าวสู่การเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคบางประการก็ตาม มาเก๊า เดิมทีเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส อุตสาหกรรมการพนันในเขตบริหารพิเศษของสาธารณรัฐประชาชนจีนแห่งนี้ได้รับการเปิดเสรีในปี 2001 และความมั่งคั่งก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยประชากรประมาณ 700,000 คน และคาสิโนมากกว่า 40 แห่งกระจายอยู่บนพื้นที่ประมาณ 30 ตารางกิโลเมตร คาบสมุทรแคบ ๆ ทางตอนใต้ของฮ่องกงแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
  • อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 การเดินทางทั่วโลกหยุดชะงัก และมาเก๊าก็หลุดจาก 10 อันดับประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในช่วงเวลาหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมา มาเก๊าก็กลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง กำลังซื้อต่อหัวของประชากรอยู่ที่ประมาณ 125,000 ดอลลาร์ในปี 2019 และปัจจุบันก็สูงยิ่งกว่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

อันดับที่ 1 ประเทศ ลักเซมเบิร์ก (Luxembourg)

10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา

กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 143,743 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 4,887,261.12 บาทต่อปี และราว 407,271 บาทต่อเดือน

  • ลักเซมเบิร์กเป็นที่รู้จักในด้านปราสาทอันงดงาม ทัศนียภาพชนบทที่สวยงาม เทศกาลทางวัฒนธรรม และอาหารท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของธนาคารต่างประเทศหลายแห่งที่ให้บริการเปิดบัญชีแก่ชาวต่างชาติ อย่างไรก็ดี การเยือนลักเซมเบิร์กเพียงเพื่อธุรกรรมทางการเงินคงเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ ตั้งอยู่ใจกลางทวีปยุโรป และมีประชากรประมาณ 670,000 คน มีสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจมากมาย รัฐบาลลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยทุ่มงบประมาณจำนวนมากในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระบบสาธารณสุข และการศึกษา ส่งผลให้ประชาชนมีมาตรฐานการครองชีพสูงที่สุดในกลุ่มประเทศยูโรโซน
  • แม้ว่าวิกฤตการณ์ทางการเงินโลกและแรงกดดันจากสหภาพยุโรปและองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ในการลดความลับทางการเงินจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของลักเซมเบิร์กมากนัก แต่การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ก็ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและการจ้างงานในประเทศ อย่างไรก็ตาม ลักเซมเบิร์กสามารถฟื้นตัวจากวิกฤตนี้ได้ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ในยุโรป โดยเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวจากการเติบโตติดลบ 0.9% ในปี 2020 เป็นการเติบโตมากกว่า 7% ในปี 2021
  • ด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของลักเซมเบิร์กไม่ยั่งยืนนัก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น สงครามในยูเครน และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในยูโรโซน ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตเพียง 1.3% ในปี 2022 และหดตัว 1% ในปี 2023 แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ว่าจะเติบโต 1.2% ในปีนี้ ถึงกระนั้น การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับลักเซมเบิร์ก เนื่องจากประเทศยังคงมีมาตรฐานการครองชีพที่สูงมาก โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของลักเซมเบิร์กทะลุ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2014 และยังคงรักษาระดับดังกล่าวไว้ได้อย่างต่อเนื่อง

ตาราง 20 อันดับประเทศที่รวยที่สุดในโลก ปี 2024

อันดับ ประเทศ/ดินแดน
GDP-PPP ต่อหัว (ดอลลาร์สหรัฐ)
1 ลักเซมเบิร์ก 143,743
2 มาเก๊า 134,141
3 ไอร์แลนด์ 133,895
4 สิงคโปร์ 133,737
5 กาตาร์ 112,283
6 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 96,846
7 สวิตเซอร์แลนด์ 91,932
8 ซานมารีโน 86,989
9 สหรัฐอเมริกา 85,373
10 นอร์เวย์ 82,832
11 กายอานา 80,137
12 เดนมาร์ก 77,641
13 บรูไนดารุสซาลาม 77,534
14 ไต้หวัน 76,858
15 ฮ่องกง 75,128
16 เนเธอร์แลนด์ 74,158
17 ไอซ์แลนด์ 73,784
18 ซาอุดีอาระเบีย 70,333
19 ออสเตรีย 69,460
20 สวีเดน 69,177

ประเทศร่ำรวยที่สุดในโลก อาจจะมีขนาดเล็กกว่าที่คุณคิด

ลองนึกภาพประเทศร่ำรวยที่สุดในโลกคุณนึกถึงอะไร? แล้วถ้าเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลกหล่ะ? หลายคนอาจจะอึ้งไปเลย ถ้ารู้ว่าประเทศที่รวยที่สุดหลายๆ ประเทศบนโลกใบนี้ ก็ดันเป็นประเทศจิ๋วเช่น ประเทศเล็กพริกขี้หนูอย่างซานมารีโน ลักเซมเบิร์ก สวิตเซอร์แลนด์ หรือสิงคโปร์ ก็รวยล้นฟ้าได้ด้วยระบบการเงินและภาษีที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ คนเก่งๆ และเงินฝากก้อนโต ส่วนกาตาร์หรือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็โกยทรัพย์จากทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล อย่างน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ หรืออย่างมาเก๊า ดินแดนแห่งคาสิโนในเอเชีย แม้จะเจอพิษโควิดเล่นงาน ทั้งล็อกดาวน์ปิดๆ เปิดๆ และจำกัดการเดินทางนานเกือบ 3 ปี ก็ยังรวยไม่สร่าง เพราะนักท่องเที่ยวสายเสี่ยงโชคยังคงหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย

นิยามคำว่า รวย ในยุคที่ความเหลื่อมล้ำสูง

10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา

แต่คำว่า "รวย" ในยุคที่ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างกว้างขึ้นนั้น เราจะนิยามมันอย่างไร? แม้ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเป็นตัวชี้วัดมูลค่าของสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผลิตภายในประเทศ แต่การนำตัวเลขนี้มาหารด้วยจำนวนประชากรที่ทำงานเต็มเวลา จะช่วยให้เราเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่าประชากรของประเทศหนึ่งร่ำรวยหรือยากจนเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับอีกประเทศหนึ่ง และทำไมเหตุผลที่ประเทศ "รวย" มักจะเป็นประเทศ "เล็ก" จึงชัดเจนขึ้น เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้มีขนาดใหญ่โตอย่างไม่สมส่วน เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่มีอยู่อย่างจำกัด

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้ภาพที่แม่นยำยิ่งขึ้นเกี่ยวกับมาตรฐานการครองชีพโดยเฉลี่ยของประชาชนในแต่ละประเทศ จำเป็นต้องนำอัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพในแต่ละพื้นที่เข้ามาพิจารณาด้วย ตัวเลขที่ได้จากการคำนวณโดยคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้เรียกว่า "ภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ" หรือ Purchasing Power Parity (PPP) ซึ่งมักจะแสดงผลเป็นหน่วย "ดอลลาร์สากล" เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบระหว่างประเทศต่างๆ ได้อย่างสะดวก และ เราไม่สามารถสรุปโดยอัตโนมัติว่าประเทศที่มีค่า PPP สูง ประชากรโดยรวมจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ในโลก เนื่องจากค่า PPP เป็นเพียงค่าเฉลี่ย และภายในแต่ละประเทศยังคงมีความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้าง ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีอยู่แล้วได้รับประโยชน์มากกว่ากลุ่มอื่นๆ ดังนั้น แม้ค่า PPP จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ แต่ก็มิได้สะท้อนภาพรวมของความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรทั้งหมดในประเทศนั้นๆ ได้อย่างสมบูรณ์

โควิด 19 คือสิ่งที่ เปิดโป่งความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างชัดเจน

10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา

การระบาดของโควิด-19 ได้เปิดเผยให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างชัดเจนในรูปแบบที่ไม่เคยมีใครคาดการณ์มาก่อน แม้ว่าประเทศที่ร่ำรวยที่สุด ซึ่งมักจะมีความเสี่ยงต่อไวรัสโคโรนาสูงกว่าเนื่องจากมีประชากรสูงอายุและปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ จะมีทรัพยากรในการดูแลผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือได้ดีกว่า แต่ทรัพยากรเหล่านั้นก็มิได้เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกันสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม ยิ่งไปกว่านั้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากมาตรการล็อกดาวน์ยังส่งผลกระทบต่อแรงงานที่มีรายได้น้อยมากกว่าผู้ที่มีอาชีพที่มีรายได้สูง ซึ่งนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำรูปแบบใหม่ระหว่างผู้ที่สามารถทำงานจากที่บ้านได้อย่างสะดวกสบายกับผู้ที่ต้องเสี่ยงต่อสุขภาพและความปลอดภัยด้วยการเดินทางไปยังสถานที่ทำงาน ผู้ที่สูญเสียงานเนื่องจากอุตสาหกรรมของพวกเขาปิดตัวลงอย่างสิ้นเชิงพบว่าตัวเองแทบไม่มีหลักประกันใดๆ เลย ซึ่งเผยให้เห็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ในระบบสวัสดิการที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในโลก

พอสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย เงินเฟ้อก็พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก แถมรัสเซียยังบุกยูเครน ทำให้วิกฤตราคาอาหารและน้ำมันที่กำลังคุกรุ่นอยู่แล้วลุกลามบานปลายไปกันใหญ่ ยังไม่ทันจะหายใจหายคอ ก็เกิดเรื่องอิสราเอลกับฮามาสตามมาอีก สร้างความปั่นป่วนให้กับซัพพลายเชนและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กับพลังงานทั่วโลก และแน่นอนว่าครอบครัวที่มีรายได้น้อยมักจะได้รับผลกระทบหนักที่สุดเสมอ เพราะพวกเขาต้องจำใจใช้สัดส่วนรายได้มากกว่าคนอื่น ๆ ไปกับค่าใช้จ่ายจำเป็นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นค่าที่อยู่อาศัย ค่าอาหาร หรือค่าเดินทาง ซึ่งราคาสินค้าและบริการเหล่านี้ก็ผันผวนสูง แถมยังมีแนวโน้มจะพุ่งขึ้นมากกว่าสินค้าอื่น ๆ อีกด้วย

ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจกำลังสูงขึ้นทุกๆปี

10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา

ข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) บอกเราว่า ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศต่างๆ นั้นน่าตกใจมากทีเดียว ใน 10 ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก กำลังซื้อเฉลี่ยต่อคนต่อปีอยู่ที่ไม่ถึง 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 52,000 บาท ในขณะที่ 10 ประเทศที่ร่ำรวยที่สุด กำลังซื้อเฉลี่ยต่อคนต่อปีนั้นสูงกว่า 110,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3.8 ล้านบาท นี่คือความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางสถิติดังกล่าวควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เน้นย้ำหลายครั้งว่าตัวเลขบางตัวอาจมีความคลาดเคลื่อน ตัวอย่างเช่น หลายประเทศในอันดับดังกล่าวเป็น "ศูนย์กลางทางการเงินนอกประเทศ" หรือ "Tax Havens" ซึ่งหมายความว่าความมั่งคั่งของพวกเขาส่วนหนึ่งไม่ได้เกิดขึ้นภายในประเทศ แต่มาจากเงินทุนที่ถูกนำมาพักไว้เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ทำให้ GDP ของพวกเขาดูสูงเกินจริง

แม้ว่าในปี 2564 จะมีข้อตกลงระดับโลกให้บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ต้องจ่ายภาษีขั้นต่ำ 15% โดยมีรัฐบาลกว่า 130 ประเทศลงนาม (แต่ยังไม่สามารถบังคับใช้ได้จริงเนื่องจากการคัดค้านจากนักการเมืองหลายประเทศ) นักวิจารณ์หลายฝ่ายให้เหตุผลว่าอัตราภาษีขั้นต่ำนี้แทบไม่แตกต่างจากอัตราภาษีของศูนย์กลางทางการเงินนอกประเทศอย่างไอร์แลนด์ กาตาร์ และมาเก๊า

มีการประเมินว่ากว่า 15% ของประเทศและดินแดนทั่วโลกเป็นศูนย์กลางทางการเงินนอกประเทศ และ IMF ยังคาดการณ์เพิ่มเติมว่า ภายในสิ้นทศวรรษ 2020 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั่วโลกราว 40% อาจมาจากกลยุทธ์การหลีกเลี่ยงภาษี เพิ่มขึ้นจาก 30% ในทศวรรษ 2010 กล่าวคือ เงินลงทุนเหล่านี้ไหลผ่านบริษัทที่ไม่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แท้จริง และแทบจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจใดๆ แก่ประชากรในประเทศที่เงินเหล่านี้ถูกส่งไป

ที่มา Global Finance forbesindia และ sapa-usa

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT