เป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วที่ไฟป่าปะทุขึ้นที่เมืองโอฟุนาโตะ ในจังหวัดอิวาเตะ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ไฟป่าเผาพื้นที่ป่าไปกว่า 13,000 ไร่ และอาคารอีกราว 80 หลัง ส่งผลให้คนมากกว่า 1,200 ชีวิตต้องอพยพออกจากพื้นที่ และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย
ไฟป่าครั้งนี้นับว่าเป็นไฟป่าที่รุนแรงที่สุดในญี่ปุ่น นับตั้งแต่ไฟป่าที่เมืองคุชิโระ ทางตอนเหนือของเกาะฮอกไกโดในปี 1975 AFP รายงานว่า ไฟป่ายังไม่มีท่าทีจะหยุดการลุกลาม แม้นักดับเพลิงกว่า 2,000 คนจากทั่วประเทศจะรวมแรงดับไฟป่าขนาดใหญ่นี้
ไฟป่าที่แวะเวียนมาบ่อยครั้งไม่ได้หยุดแค่ที่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น Global Forest Watch เปิดเผยว่าไฟป่าเป็นภัยที่โหมแรงขึ้นทั่วโลกในทศวรรษหลังมานี้ มีปี 2016 เป็นปีที่ไฟป่าสร้างความเสียหายมากที่สุดในศตวรรษที่ผ่านมา ลบพื้นที่ป่าไม้ไปถึง 60 ล้านไร่ทั่วโลก ตามมาด้วยปี 2021 ที่พื้นที่ป่าถูกลบหายไปถึง 58.1 ล้านไร่ทั่วโลกจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับไฟ
ที่ประเทศญี่ปุ่น กราฟความถี่ของไฟป่าในประเทศญี่ปุ่นนั้นลดลงตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 อ้างอิงตามข้อมูลจากรัฐบาลญี่ปุ่น จนกระทั่งปี 2023 เมื่อรัฐบาลบันทึกเหตุการณ์ไฟไหม้ได้ราว 1,300 ครั้ง และมักเกิดขึ้นช่วงเดินกุมภาพันธ์ - เดือนเมษายน เมื่ออากาศมีความแห้งมากและมีลมแรง
ปริมาณน้ำฝนนั้นอาจมีส่วน เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมืองโอฟุนาโตะมีระดับปริมาณน้ำฝนน้อยที่สุดเป็นประวัติการณ์ น้อยเพียง 2.5 มิลลิเมตรเท่านั้น เรียกได้ว่าทำลายสถิติระดับน้ำฝนต่ำสุดที่ครองแชมป์มาตั้งแต่ปี 1967 ที่ 4.4 มิลลิเมตร
ไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่นเท่านั้นแต่ทั่วโลกเองก็เผชิญกับไฟป่าที่มากขึ้น ข้อมูลจาก World Resource Institute ออกมาเตือนในเดือนสิงหาคม 2024 ว่าไฟป่าเป็นคลื่นภัยพิบัติที่กำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ชี้ว่า ระหว่างปี 2001 - 2023 พื้นที่ถูกไฟป่าทำร้ายเพิ่มมากขึ้นเฉลี่ยปีละ 5.4 % โดยพื้นที่ป่าที่ถูกไฟป่าเผาในปี 2023 มีขนาดใหญ่เทียบเท่าประเทศนิการากัวเลยทีเดียว
ไฟป่าที่ทวีความรุนแรงในปีหลังมานี้ มีเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ทั้งคลื่นความร้อนที่เกิดมากขึ้น 5 เท่าในปัจจุบันเทียบกับเมื่อ 150 ปีก่อนและมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นอีกตามอุณภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มมากขึ้น อุณหภูมิที่เพิ่มสูงยังส่งผลให้ความชื้นในดินและใบไม้ลดลง สร้างสภาพแวดล้อมทั้งร้อนและแห้งอันแสนจะสมบูรณ์บบให้ไฟป่าได้ปะทุและลุกลาม
หากจะเจาะที่ประเทศญี่ปุ่น การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศก็ส่งผลต่อหมู่เกาะที่กำลังเผชิญกับไฟป่าครั้งนี้ไม่ต่างกัน Tokyo Weekender กล่าวว่าการเปลี่ยนผ่านจากเอลนีโญสู่ลานีญาเมื่อปี 2023 ส่งผลให้อุณหภูมิพื้นผิวของมหาสมุทรอินเดียสูงขึ้น นำมาสู่การระเหยและการก่อตัวของเมฆที่มากขึ้น ทั้งยังทิ้งผลระยะยาวไว้ในรูปแบบสภาพอากาศในปีถัดมา ฤดูฝน (tsuyu) ช่วงกลางปี 2024 ของญี่ปุ่นจึงผันผวนเป็นอย่าางมาก
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อด้านการรับมือภัยพิบัติ เนื่องจากภูมิประเทศส่งผลให้ประเทศนี้ต่อเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติอยู่บ่อยครั้งโดยเฉพาะภัยจากแผ่นดินไหว แต่เมื่อพูดถึงไฟป่า ญี่ปุ่นอาจยังไม่ได้เตรียมพร้อมเท่าที่ควร ซามูเอล มานเซลโล (Samuel Manzello) นักวิจัยด้านการเผาไหม้จากมหาวิทยาลัยโทโฮคุให้ความเห็นจากเหตุการไฟป่าครั้งนี้ถึงการมองข้ามภัยจากไฟในพื้นที่เมืองหรือพื้นที่ใกล้ไฟป่าในสังคมญี่ปุ่น
“ญี่ปุ่นไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือความเสียหายจากไฟ WUI (ไฟในเขตที่อยู่อาศัยหรือพื้นที่เมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับหรือสัมผัสกับพื้นที่ป่า) เพราะไม่ได้มีความพยายามอย่าจริงจังจะเตรียมรับเลย” ซามูเอล มานเซลโล กล่าว “ในขณะเดียวกัน ที่ญี่ปุ่น นักวิจัยด้านไฟยังเชื่ออย่างผิดๆ ว่าไฟ WUI จะสร้างปัญหาให้กับคนดังเท่านั้น เพราะในสื่อญี่ปุ่น ไฟ WUI จะถูกรายงานผ่านมุมมองของคนดังฮอลลีวูดที่สูญเสียบ้านจากไฟนี้”