ความตื่นตัวของภาคธุรกิจต่อประเด็นสิ่งแวดล้อมและการเติบโตอย่างยั่งยืนเกิดขึ้นในเกือบทุกอุตสาหกรรมแล้ว แต่การเปลี่ยนผ่านธุรกิจเดิมไปสู่พลังงานสะอาดของแต่ละอุตสาหกรรม อาจใช้เวลาแตกต่างกันไป หนึ่งในอุตสาหกรรมที่กำลังต้องเร่งปรับตัวอย่างหนักคือ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ที่มีข้อมูลพบว่า มีส่วนในการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่า อุตสาหกรรมการบินระหว่างประเทศและการขนส่งทางเรือเสียอีก
ข้อมูลนี้มาจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า โดยเฉลี่ยอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม (ไม่รวมรองเท้า) นี้มักปล่อยคาร์บอนฯ สูง ประมาณ1,700 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี หรือมีสัดส่วนประมาณ 6-8% ของการปล่อยคาร์บอนฯ ทั่วโลก ซึ่งมากกว่าการปล่อยจากอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางเรือรวมกัน (2-3%)
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า จากข้อมูลล่าสุดในปี 2020 อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มมีอัตราการปล่อยคาร์บอนฯ อยู่ที่ 4% ซึ่งยังคงสูงกว่าอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางเรือที่ 2% ซึ่ง International Labour Organization (องค์การแรงงานระหว่างประเทศ) ได้เปรียบเทียบต่าง ๆ พบว่าการปล่อยคาร์บอนฯ และมลพิษส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมสิ่งทอ มาจากกระบวนการย้อมและการตกแต่ง ตามด้วยการเตรียมเส้นด้าย การผลิตเส้นใย และการผลิตผ้า โดยยังไม่รวมถึงการขนส่ง แต่คาดการณ์ว่ายังอยู่ในสัดส่วนที่ไม่ถึง 5%
1.จีน 330 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
2.สหภาพยุโรป 228 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
3.เวียดนาม 46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
4.บังกลาเทศ 45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
5.อินเดีย 37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
6.ตุรกี 35พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
7.สหรัฐฯ 21พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
8.ปากีสถาน 18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
9.อินโดนีเซีย 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
10.กัมพูชา 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
11.ไทย 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในการคำนวนการปล่อยคาร์บอนฯ สำหรับอุตสาหกรรมแฟชั่นค่อนข้างยากเพราะยังไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลมากนัก แต่ประเทศผู้ผลิตสิ่งทอหลักอย่างจีน อินเดีย และบังคลาเทศ (รูปที่ 3 และรูปที่ 4) ยังคงพึ่งพาถ่านหิน นอกจากนี้ การย่อยสลายของขยะสิ่งทอในสถานที่ฝังกลบหรือการเผาไหม้ต่าง ๆ ทำให้เกิดการปล่อยสารเคมีอันตรายและก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่สิ่งแวดล้อม
เมื่อพิจารณาสัดส่วนการใช้พลังงาน ประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตสิ่งทอและเครื่องแต่งกายรายใหญ่ที่สุดของโลกนั้น มีการใช้พลังงานมากเป็นอันดับที่ 6 ของประเทศจีน โดยในประเทศบังกลาเทศ อุตสาหกรรมนี้ทำรายได้หลักจากการส่งออกประมาณ 81% ของรายได้ของประเทศ และมีการใช้พลังงาน 27% และในประเทศตุรกี อุตสาหกรรมนี้มีการใช้พลังงานมากเป็นอันดับที่สาม รองจากเหล็ก เหล็กกล้า และซีเมนต์ โดยที่กล่าวมานั้นโดยทั่วไปอุตสาหกรรมแฟชั่นมีการใช้พลังงานหมุนเวียนน้อยกว่า 2%
ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าเสื้อผ้าจากที่มาจากเส้นใยสังเคราะห์มักทำร้ายธรรมชาติมากที่สุด แต่จากข้อมูลพบว่า เสื้อ 1 ตัวที่ทำมาจากผ้าฝ้ายกลับปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่สุด สาเหตุเพราะ กระบวนการผลิตฝ้ายและการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง
แต่ที่น่ากลัวคือ แม้ว่า Polyester จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าฝ้าย แต่ก็ย่อยสลายได้ยากโดยใช้เวลาหลายร้อยปีจะจึงหมดไป ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานี้ทั้งสองทางเลือกจึงเป็นทางเลือกที่น่าลำบากใจสำหรับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นชวนคิดอีกว่า การผลิตเสื้อใหม่ 1 ตัว มีปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าการขับรถเบนซินใน 1 วัน (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของการขับรถ 20 กิโลเมตร = 1.92 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ปัจจุบันตลาดเสื้อผ้ามือสองได้รับความนิยมและเติบโตขึ้น โดย ThredUp ได้คาดการณ์ว่า ธุรกิจของเสื้อผ้ามือสองของโลกจะเติบโตสูงถึง 350 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2027
แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งมีการทำรีไซเคิลประกอบกับการผลิตฝ้ายแบบออร์แกนิก ทำให้ปล่อยคาร์บอนฯ น้อยกว่าเส้นใยแบบอื่น ๆ และย่อยสลายได้ภายในหกเดือน เพราะผลิตโดยใช้เมล็ดพันธุ์ธรรมชาติ และไม่มีการใช้สารเคมีหรือสารป้องกันศัตรูพืชใด ๆ แต่ในสหภาพยุโรปพบว่า มีเพียงแค่ 1% ของสินค้าเครื่องนุ่งห่มที่ถูกนำกลับมารีไซเคิลเป็นเสื้อผ้าใหม่ ซึ่งเป็นหนทางอีกยาวไกลที่ต้องได้รับการสนับสนุน
ทุกปีทั่วโลกจะมีเสื้อผ้าถูกผลิตขึ้นมา 1 แสนล้านชิ้นทุกปี และมีถึง 92 ล้านตันที่ไปสิ้นสุดที่หลุมฝังกลบขยะ ส่วนหนึ่งมาจากการเจริญเติบโตของ Fast Fashion เนื่องด้วย Fast Fashion เป็นการผลิตเสื้อผ้าที่ราคาถูก คุณภาพต่ำ และออกแบบให้ตามสมัยเพื่อให้สามารถซื้อได้บ่อย ซึ่งยิ่งทำให้เกิดการสูญเปล่าของทรัพยากรจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดขยะจากสิ่งทอที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากเสื้อผ้าถูกทิ้งอย่างรวดเร็ว
โดยการผลิตเสื้อผ้าเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตั้งแต่ปี 2000 และยังไม่มีสัญญาณของการลดลง และหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ ปริมาณขยะจาก Fast Fashion คาดว่าจะพุ่งสูงถึง 134 ล้านตันต่อปีภายในสิ้นทศวรรษนี้ซึ่งมากกว่าที่ทิ้งทั้งหมดต่อปีในตอนนี้
หนึ่งในประเทศที่กำลังแก้ปัญหาขยะสินค้าแฟชั่นคือฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อมีนาคม 2024 นี้ได้มีมติผ่านร่างกฎหมายเพื่อควบคุมเสื้อผ้าจากอุตสาหกรรม Fast Fashion โดยระบุว่า รัฐบาลฝรั่งเศสจะเก็บค่าปรับกับผู้ผลิตฐานทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นจำนวนเงิน 5 ยูโร ต่อเสื้อผ้า 1 ชิ้น และอาจจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 10 ยูโร ภายในปี 2030 โดยไม่ใช่แค่ฝั่งผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น เพราะยังห้ามการโฆษณาบนสื่อทุกประเภทด้วย
สำหรับประเทศไทยนั้นการส่งออกในอุตสาหกรรมนี้มีมูลค่าเกือบ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 และอยู่ใน 20 อันดับแรกผู้ส่งออกสูงสุดของโลก โดยมีปริมาณการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มประมาณ 2,800 ตันต่อปี
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยจะมีการปล่อยคาร์บอนฯที่ 4-8% ของการปล่อยคาร์บอนฯ ทั้งประเทศซึ่งใกล้เคียงกับเกณฑ์เฉลี่ยของโลกอย่างไรก็ดี ประเด็นปัญหาหลักของไทยคือข้อจำกัดของข้อมูลต่าง ๆ มิใช่เพียงของอุตสาหกรรมนี้เท่านั้น โดยเริ่มต้นจากการจัดทำฐานข้อมูลโดยใช้ระบบ ISSB เพื่อจัดทำ Carbon Accounting ที่เป็นมาตรฐานตามแนวทางของอุตสาหกรรมอื่น ๆ แล้วจึงเริ่มดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนภาคเอกชน ได้แก่
ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพียงมาตรการจากภาครัฐเท่านั้น แต่ภาคเอกชนและผู้บริโภคเองที่จะต้องตระหนักรู้เพื่อเตรียมรับมือกับ Fast fashion และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนต่อไป
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย