ในงาน Sustainability Expo 2024 (SX 2024) มหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน SCG ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างโลกที่ยั่งยืน ด้วยการนำเสนอแนวคิด โครงการ และนวัตกรรมที่ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การลดคาร์บอนในชีวิตประจำวัน การจัดการขยะและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด การพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำ ไปจนถึงการส่งเสริมพื้นที่สีเขียว บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจไฮไลท์สำคัญจากบูธ SCG ในงาน SX 2024 ที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน
ในมหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน Sustainability Expo 2024 (SX 2024) บริษัท SCG ได้นำเสนอแนวคิดที่ล้ำหน้าในการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ภายใต้แนวคิด "LOW CARBON LIVING วิถีชีวิตใหม่ไร้คาร์บอน" บูธจัดแสดงของ SCG ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในชีวิตประจำวัน ผ่านการเลือกสรรวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการส่งเสริมการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่
หนึ่งในโครงการที่โดดเด่นคือ "NETSup" ซึ่งเป็นการนำอวนประมงที่ไม่ใช้งานแล้วมาผ่านกระบวนการแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (Marine Materials) เพื่อนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ Upcycled ที่หลากหลาย โครงการนี้ไม่เพียงแต่มีส่วนช่วยลดปริมาณขยะในทะเล แต่ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหลือใช้ และลดการพึ่งพาทรัพยากรใหม่
SCG ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยคาร์บอนผ่านแนวคิด "ลดคาร์บอนได้ทุกวัน เปลี่ยนใช้ ผลิตภัณฑ์รักษ์โลก" ภายในบูธ SCG ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากมาย ซึ่งเป็นตัวอย่างที่จับต้องได้ของการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน
หนึ่งในไฮไลท์สำคัญคือ SCG GREEN POLYMER™ ซึ่งเป็นพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (High Quality PCR) ที่สามารถนำไปผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำ นอกจากนี้ยังสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ 100% มีความปลอดภัย และนำไปสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย
นอกจากนี้ SCG ยังร่วมมือกับ HomePro ใน "โครงการแลกเก่าเพื่อโลกใหม่" เพื่อจัดการสินค้าเก่าอย่างถูกวิธี และนำไปสู่กระบวนการรีไซเคิลเพื่อผลิตเป็น "สินค้ารักษ์โลก" (Circular Products) อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจคือ บรรจุภัณฑ์อาหาร Fest Redi Pak ซึ่งใช้วัสดุหลัก 90% จากเยื่อยูคาลิปตัสที่ย่อยสลายได้ภายใน 60 วัน บรรจุภัณฑ์นี้ยังสามารถลอกพลาสติกฟิล์มออกเพื่อนำไปรีไซเคิลได้ และลดเวลาอุ่นอาหาร 25% ซึ่งช่วยประหยัดพลังงาน
SCG ยังให้ความสำคัญกับการวัดและรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผลิตภัณฑ์เยื่อกระดาษ กระดาษพิมพ์เขียน กระดาษถ่ายเอกสาร กระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์อาหาร บรรจุภัณฑ์กระดาษ และบรรจุภัณฑ์พลาสติก ของ SCGP จำนวน 161 รายการ ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Products: CFP) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้สินค้าที่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำได้ง่ายขึ้น
จากแนวคิด "LOW CARBON HABITAT ที่อยู่อาศัยคาร์บอนต่ำ" สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทในการผลักดันภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างสู่ยุคแห่งความยั่งยืน SCG ได้นำเสนอแนวทางในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากการก่อสร้างและที่อยู่อาศัย โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้วัสดุอย่างมีประสิทธิภาพและการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกขั้นตอนของกระบวนการก่อสร้าง เพื่อเปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัยให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงนวัตกรรมที่น่าสนใจ เช่น Hot Air Generator ที่ใช้เชื้อเพลิงชีวมวลทดแทนก๊าซธรรมชาติในกระบวนการผลิต ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งของการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ทาง SCG ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) เพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ภายใต้แนวคิดหลัก "Energy Transition: เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด" บูธนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน ไปสู่การใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสร้างโลกที่ยั่งยืน โดยมีการนำเสนอ 4 แนวทางหลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ได้แก่
SCG มีความมุ่งมั่นของบริษัทในการผลักดันอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยสู่ความยั่งยืน ด้วยการนำเสนอ “ปูนคาร์บอนต่ำ” ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก ปูนซีเมนต์ถือเป็นวัสดุสำคัญในการก่อสร้าง แต่กระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมนั้นก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก SCG ได้เล็งเห็นปัญหานี้ และพัฒนา "ปูนคาร์บอนต่ำ" ขึ้นเป็นรายแรกของประเทศไทย โดยใช้เทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ (Supplementary Cementitious Materials หรือ SCMs) และกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้สามารถลดการปล่อย CO2 ได้ถึง 15-20% เมื่อเทียบกับปูนซีเมนต์สำหรับงานโครงสร้างทั่วไป
ภายในบูธ SCG ได้จัดแสดงตัวอย่างปูนคาร์บอนต่ำ พร้อมข้อมูลและภาพโครงการที่ประสบความสำเร็จในการนำปูนชนิดนี้ไปใช้ เช่น โครงการ Supalai Icon Sathon และ Lake Forest ของ Property Perfect ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงประสิทธิภาพและความเป็นไปได้ในการใช้งานจริงของนวัตกรรมนี้
จากภาพบูธ SCG ในงาน Sustainability Expo 2024 (SX 2024) เราจะเห็นว่า SCG ได้นำเสนอโซลูชันที่น่าสนใจในการจัดการปัญหาขยะ ภายใต้แนวคิด "ผู้ช่วยจัดการขยะ และเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง" ด้วยโซลูชัน "Wake Up Waste" สำหรับ Wake Up Waste เป็นแพลตฟอร์มและโซลูชันบีบอัดขยะที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาขยะล้นเมืองและเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง โดยเฉพาะในกลุ่มโรงแรม โรงพยาบาล ออฟฟิศ และคอนโด โซลูชันนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณขยะ แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย สำหรับผลลัพธ์คือ
การจัดแสดง Wake Up Waste ในงาน SX 2024 ของ SCG นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนาโซลูชันที่ยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการขยะและการขนส่ง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งภาคธุรกิจและสังคมโดยรวม
SCG พร้อมนำเสนอไอเดียสุดสร้างสรรค์ในการนำวัสดุเหลือใช้มาเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิดหลัก "เปลี่ยนพื้นให้รักษ์โลก" และ "เปลือกไข่" เหลือทิ้งเป็นสุขภัณฑ์รักษ์โลก
เปลี่ยนถุงน้ำยาล้างไตเป็นกระเบื้อง
ความร่วมมือระหว่าง Baxter, PRINCIPAL, และ SCG ได้นำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมที่น่าทึ่ง นั่นคือการนำถุงน้ำยาล้างไตใช้แล้วมาแปรรูปเป็นกระเบื้องพีวีซีรีไซเคิลคุณภาพสูง ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทย กระเบื้องรักษ์โลกนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดขยะและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 1,110 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้น แต่ยังเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ถึง 120 ต้นอีกด้วย
เปลือกไข่เหลือทิ้งเป็นสุขภัณฑ์
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่น่าสนใจคือการนำ "เปลือกไข่" ซึ่งเป็นวัสดุเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมอาหาร มาใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตสุขภัณฑ์เซรามิกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นวัตกรรมนี้ช่วยลดปริมาณขยะและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตได้ถึง 930 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้ใหญ่จำนวน 8,340 ต้น
SCG สร้างแรงบันดาลใจสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน
SCG และ COTTO ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการนำวัสดุเหลือใช้มาสร้างมูลค่าเพิ่มและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เข้าชมงานและภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้ เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
จากภาพที่เห็นในบูธของ SCG ภายในงาน Sustainability Expo 2024 (SX 2024) ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคส่วนต่าง ๆ โดยข้อมูลจากบูธแสดงให้เห็นชัดเจนว่าภาคพลังงานเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 69.06% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด นี่เป็นเครื่องเตือนใจว่าการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากภาคพลังงานแล้ว ยังมีภาคส่วนอื่น ๆ ที่มีส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้แก่
ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่เพียงแค่ภาคพลังงานเท่านั้น
ภาพจากบูธ SCGP ในงาน Sustainability Expo 2024 (SX 2024) สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการแก้ไขปัญหาขยะอย่างยั่งยืน ผ่านแนวคิด "ชุมชน LIKE(ไร้)ขยะ" ซึ่งเป็นการส่งเสริมการจัดการขยะอย่างยั่งยืนในชุมชน จากวิกฤตสู่โอกาส เปลี่ยน “ขยะ” เป็น “ทรัพยากร” SCGP เชื่อว่าการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพสามารถเริ่มต้นได้จากระดับชุมชน โดยนำเสนอแนวคิดการเปลี่ยน "ขยะ" ให้เป็น "ทรัพยากร" ที่มีค่า นำกลับมาใช้ใหม่ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
โดยโครงการนำร่องที่ชุมชนบ้านรวงผึ้ง จังหวัดราชบุรี เป็นตัวอย่างความสำเร็จของแนวคิดนี้ โดย SCGP ได้เข้าไปส่งเสริมการจัดการขยะอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงระดับชุมชน ผลลัพธ์ที่ได้คือชุมชนสามารถลดปริมาณขยะ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ สำหรับวัตกรรมที่น่าสนใจ อย่าง "ถังหมักปุ๋ยอินทรีย์ ตราคู่ดิน by SCGP" ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยเปลี่ยนเศษอาหารให้กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับครัวเรือน และไม่ส่งกลิ่นเหม็น ถังหมักนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในชีวิตประจำวัน
ภาพบูธ SCG ในงาน Sustainability Expo 2024 (SX 2024) สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของบริษัทในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยนำเสนอ “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” ซึ่งเป็นโครงการต้นแบบในการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด "LOW CARBON CITY"
โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง SCG และ TCMA (Thailand Cement Manufacturers Association) เพื่อพัฒนาพื้นที่ในจังหวัดสระบุรีให้เป็นต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำ โดยมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกมิติ ตั้งแต่ภาคอุตสาหกรรม พลังงาน เกษตรกรรม การจัดการขยะ ไปจนถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียว นอกจากนี้ทาง SCG ได้นำเสนอข้อมูลและแนวทางการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำอย่างครอบคลุม โดยมี 6 หัวข้อหลัก ได้แก่
สระบุรีทำได้ จังหวัดอื่นก็ทำได้
นอกจากนี้ ภายในบูธยังมีการนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจ เช่น ภาคพลังงานเป็นภาคส่วนที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด คิดเป็น 69.06% และเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโรงงานปูนซีเมนต์ SCG ในสระบุรีให้ได้ 1 ล้านตัน ภายในปี 2030
SCG ได้นำเสนอแนวคิดและโซลูชันที่น่าสนใจในการลดคาร์บอนจากภาคการขนส่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ภายใต้ความร่วมมือกับ PTT OR บริษัทได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างระบบการขนส่งที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น สำหรับเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการขนส่งสีเขียว SCG ได้นำเสนอโซลูชันที่น่าสนใจหลายอย่างเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการขนส่ง ได้แก่
ความร่วมมือ SCGJWD x PTT OR
ความร่วมมือระหว่าง SCGJWD และ PTT OR เป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการนำนวัตกรรมไปใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยการใช้ Cool Container ในการจัดส่งสินค้าเบเกอรี่ไปยังร้านคาเฟ่อเมซอนกว่า 500 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงได้ 82.59 ล้านลิตร และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 226,358 ตันคาร์บอนไดออกไซด์
ภาพบูธ SCG ในงาน Sustainability Expo 2024 (SX 2024) สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ "พื้นที่สีเขียว" ในการสร้างเมืองคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด "GREEN SPACE เพิ่มพื้นที่สีเขียว" บูธนี้เน้นย้ำถึงบทบาทของต้นไม้และป่าไม้ในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
ต้นไม้ ฮีโร่ผู้พิทักษ์โลก
SCG ได้นำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับประโยชน์ของต้นไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ต้นไม้ยืนต้น 1 ต้น" สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงสุดถึง 25 กิโลกรัมต่อปี นอกจากนี้ ต้นไม้ยังช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สร้างเศรษฐกิจท้องถิ่น และสร้างรายได้ให้ชุมชน
ป่าชายเลนและหญ้าทะเล ซูเปอร์ฮีโร่แห่งท้องทะเล
ไม่เพียงแต่ต้นไม้บนบกเท่านั้น ป่าชายเลนและหญ้าทะเลยังเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญ โดยมีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนมากกว่าป่าบกถึง 5 เท่า SCG เน้นย้ำถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลเหล่านี้ เพื่อช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
"ปลูก" เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ภายในบูธ SCG ยังมีการจัดแสดงต้นไม้นานาชนิด และกิจกรรมที่ส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพื่อกระตุ้นให้ผู้เข้าชมงานตระหนักถึงความสำคัญของการปลูกต้นไม้และดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
จากการนำเสนอของ SCG ในงาน Sustainability Expo 2024 (SX 2024) เราได้เห็นภาพที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ผ่านแนวคิด นวัตกรรม และโครงการต่าง ๆ ที่ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การลดคาร์บอนในชีวิตประจำวัน การจัดการขยะและทรัพยากร การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด การพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำ ไปจนถึงการส่งเสริมพื้นที่สีเขียว
SCG ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกภาคส่วนในการร่วมกันสร้างโลกที่น่าอยู่สำหรับคนรุ่นต่อไป บูธของ SCG ในงาน SX 2024 จึงไม่ใช่เพียงแค่การจัดแสดง แต่เป็นการประกาศเจตนารมณ์ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวก และเป็นเครื่องยืนยันว่า "ความยั่งยืน" ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดสวยหรู แต่เป็นสิ่งที่ SCG ดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
การเข้าร่วมงาน SX 2024 ของ SCG ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน และเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับภาคธุรกิจอื่น ๆ ในการร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน