ความยั่งยืน

อนาคตของยานยนต์ไทย ก้าวไกลสู่ความยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

6 ต.ค. 67
อนาคตของยานยนต์ไทย ก้าวไกลสู่ความยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

อุตสาหกรรมยานยนต์โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการปฏิรูป โดยมีเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (EV) รถยนต์ไร้คนขับ และเทคโนโลยีเชื่อมต่อเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ควบคู่กับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้น ประเทศไทยตระหนักถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และเร่งปรับตัวเพื่อก้าวสู่ความยั่งยืนในอุตสาหกรรมยานยนต์

อนาคตของยานยนต์ไทย ก้าวไกลสู่ความยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

อนาคตของยานยนต์ไทย ก้าวไกลสู่ความยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

การเสวนา "ขับเคลื่อนยานยนต์ยั่งยืนเพื่ออนาคตของชีวิตที่ดีขึ้น Sustainable Mobility For The Future Of Life" ณ งาน SX 2024 ได้สะท้อนมุมมองอันทรงคุณค่าจากผู้นำในอุตสาหกรรม นำโดย Hyundai, Hino และ HAUP ซึ่งได้เผยวิสัยทัศน์และทิศทางการพัฒนา พร้อมฉายภาพอนาคตของยานยนต์ไทย ท่ามกลางความท้าทายและโอกาสที่รออยู่เบื้องหน้า

สำหรับวิทยากรร่วมเสวนามี คุณวัลลภ เฉลิมวงศาเวช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด ,คุณเดย์ ยิ่งชล กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ฮีโน่มอเตอร์สเซลส์ (ประเทศไทย) และ คุณกฤษฏิ์ วิชัยวัฒนาพาณิชย์ ประธานกรรมการบริหาร และผู้ก่อตั้ง บริษัท ฮ้อปคาร์ จำกัด โดยมี คุณพลปิยะ ฐิติเวส เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

Hyundai บุกเบิก EV ด้วย IONIQ 5 และ Ecosystem ที่ครบวงจร

อนาคตของยานยนต์ไทย ก้าวไกลสู่ความยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

คุณวัลลภ ผู้แทนจาก Hyundai ได้แสดงวิสัยทัศน์ของบริษัทในการเป็นผู้นำด้าน EV ในประเทศไทย โดย IONIQ 5 คือ Key Product ที่ Hyundai มุ่งมั่นที่จะนำเสนอ ด้วยราคาที่เข้าถึงง่าย เริ่มต้นเพียง 1,699,000 บาท จากการเข้าร่วมโครงการ EV 3.5 ของรัฐบาล นอกจากนี้ Hyundai ยังให้ความสำคัญกับการสร้าง Ecosystem ที่ครบวงจร ตั้งแต่การลงทุนสร้างโรงงานประกอบรถ EV และแบตเตอรี่ในประเทศไทย การพัฒนา HEV, PHEV และ EREV เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย รวมถึง การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี Autonomous Vehicle อย่าง RoboTaxi ที่กำลังทดสอบในต่างประเทศ และ Advanced Air Mobility (AAM) หรือโดรนขนส่ง ซึ่งมีแผนจะเปิดตัวในปี 2028

Hino มุ่งลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ ด้วยเทคโนโลยี

อนาคตของยานยนต์ไทย ก้าวไกลสู่ความยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

คุณเดย์ ผู้แทนจาก Hino ได้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายของรถบรรทุก ซึ่งเป็นยานยนต์ที่มีความจำเป็น แต่ก็มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง Hino มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น ระบบ Hino Connect ที่ช่วยในการบริหารจัดการ และลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน รวมถึงการพัฒนา Training System เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการขับขี่แบบประหยัด ในขณะเดียวกัน Hino ก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาพลังงานทางเลือก เช่น EV และไฮโดรเจน เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล

HAUP เชื่อมต่อทุกการเดินทาง สู่ Sharing Economy

อนาคตของยานยนต์ไทย ก้าวไกลสู่ความยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

คุณกฤษณ์ ผู้แทนจาก HAUP ได้นำเสนอ Business Model ที่น่าสนใจ ด้วยแพลตฟอร์ม Car Sharing ที่เชื่อมต่อผู้ใช้รถ และเจ้าของรถ เข้าด้วยกัน ผ่านแอปพลิเคชัน ที่ใช้งานง่าย และยืดหยุ่น HAUP เริ่มต้นจากการให้บริการในมหาวิทยาลัย เพื่อปลูกฝังแนวคิด Sharing Economy ให้กับคนรุ่นใหม่ และมีแผนที่จะขยายบริการไปสู่ Autonomous Vehicle, จักรยาน มอเตอร์ไซค์ รวมถึงการขนส่งรูปแบบอื่นๆ เพื่อสร้าง Mobility Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบ

ความยั่งยืน มากกว่าแค่ EV

การเสวนาครั้งนี้ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ Sustainability ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการขยะ และการสร้างความเป็นธรรมในสังคม ผู้ร่วมเสวนาทุกท่านเห็นพ้องต้องกันว่า การพัฒนาเทคโนโลยี และ Business Model ใหม่ๆ จะต้องคำนึงถึงผลกระทบในวงกว้าง เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน

ความท้าทายและโอกาสของยานยนต์ไทย

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวสู่ยุค Future Mobility ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ และบุคลากร อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็มีโอกาสที่จะเป็น Hub ของ EV และ Mobility ในภูมิภาค ด้วยศักยภาพด้านการผลิต และ Supply Chain ที่แข็งแกร่ง

มุ่งสู่อนาคตยานยนต์ไทย บนเส้นทางแห่งความยั่งยืน

อนาคตของยานยนต์ไทย ก้าวไกลสู่ความยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

การเสวนา "ขับเคลื่อนยานยนต์ยั่งยืนเพื่ออนาคตของชีวิตที่ดีขึ้น Sustainable Mobility For The Future Of Life" ณ งาน SX ได้จุดประกายสำคัญต่อพัฒนาการของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ ทิศทาง และความพร้อมของภาคส่วนต่างๆ ในการร่วมกันขับเคลื่อนประเทศสู่ยุคแห่ง Future Mobility พร้อมเผชิญความท้าทายและคว้าโอกาสที่รออยู่เบื้องหน้า

หัวใจสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย มิใช่เพียงการมุ่งสู่เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า หรือการลดการปล่อยมลพิษ แต่คือการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อบรรลุเป้าหมายแห่งความยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยมีแนวทางดังนี้

บทบาทของภาครัฐ

  • กำหนดนโยบายและมาตรการ: ส่งเสริมการลงทุน การวิจัยและพัฒนา การใช้ และการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น รถยนต์ไร้คนขับ และเทคโนโลยีเชื่อมต่อ
  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: ลงทุนในโครงข่ายไฟฟ้า สถานีชาร์จ และระบบขนส่งสาธารณะที่เชื่อมต่อ เพื่อรองรับการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีใหม่ๆ
  • กำกับดูแลและส่งเสริม: ออกกฎระเบียบ มาตรฐาน และแนวปฏิบัติ เพื่อควบคุม ส่งเสริม และสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างยั่งยืน ครอบคลุมมิติต่างๆ เช่น ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และจริยธรรม

บทบาทของภาคเอกชน

  • ลงทุนและพัฒนา: ทุ่มเททรัพยากรในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และ Business Model ใหม่ๆ เช่น การผลิตรถ EV แบตเตอรี่ ระบบ Car Sharing และเทคโนโลยีไร้คนขับ
  • สร้างความร่วมมือ: ประสานความร่วมมือกับภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคประชาชน เพื่อสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างยั่งยืน
  • ยกระดับขีดความสามารถ: พัฒนาบุคลากร กระบวนการผลิต และ Supply Chain ให้มีประสิทธิภาพ และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

บทบาทของสถาบันการศึกษา

  • พัฒนาบุคลากร: ผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถ ทักษะ และความเชี่ยวชาญ ด้านเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ เช่น EV AI IoT และ Robotics
  • วิจัยและพัฒนา: ดำเนินการวิจัยและพัฒนาด้านยานยนต์ เพื่อสร้างองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรม
  • ถ่ายทอดเทคโนโลยี: ถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สู่ภาคเอกชน เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรม

บทบาทของประชาชน

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: เลือกใช้ยานพาหนะ พลังงาน และเทคโนโลยี ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้รถ EV การใช้บริการขนส่งสาธารณะ และการสนับสนุนธุรกิจ Car Sharing
  • มีส่วนร่วม: แสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชน ในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างยั่งยืน
  • สร้างความตระหนัก: เผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ และประโยชน์ ของการใช้เทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลาง (Hub) ด้าน EV และ Mobility ในภูมิภาค ด้วยฐานการผลิต บุคลากร และ Supply Chain ที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ และการยกระดับทักษะของบุคลากร ยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง

ด้วยความร่วมมือ ความมุ่งมั่น และวิสัยทัศน์ระยะยาว ประเทศไทยจะสามารถก้าวสู่การเป็นผู้นำด้าน Future Mobility ที่ยั่งยืน ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก สร้างโอกาส ความมั่งคั่ง และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ให้กับคนไทยทุกคน

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT