ท่ามกลางขาลงของเหล่าบริษัทเทคโนโลยีในปีที่แล้ว บริษัทหนึ่งที่มีผลงานเป็นที่ฮือฮาของชาวโลกมาตลอดทั้งปีก็คือ “OpenAI” เจ้าของโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) เช่น AI วาดรูป “DALL-E” และ AI นักเขียนและแชทบอท “ChatGPT” (แชทจีพีที) ที่ออกมาสร้างแรงกระเพื่อมในหลายๆ วงการ ไม่ว่าจะเป็นนักวาด และนักเขียนที่มองว่า AI เหล่านี้อาจจะเป็น “Disruptor” ตัวใหญ่ที่เข้ามาแย่งหลายๆ งานของมนุษย์ในอนาคต
และหลังจากทำผลงานได้ดีในปีที่ผ่านมา OpenAI ก็เนื้อหอม และกำลังอยู่ในระหว่างพูดคุยเพื่อระดมทุนจากนักลงทุนอีกรอบแล้ว โดยจากการรายงานของ The Wall Street Journal การระดมทุนครั้งนี้จะทำให้มูลค่าของ OpenAI เพิ่มขึ้นจาก 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปแตะ 29,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1 ล้านล้านบาท และทำให้บริษัทขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าสูงที่สุดของสหรัฐฯ
โดยในปัจจุบัน มีนักลงทุนสถาบัน 2 รายที่กำลังอยู่ในระหว่างการพูดคุยกับ OpenAI คือ Thrive Capital และ Founders Fund ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในสหรัฐ ที่จะเข้าซื้อหุ้นของ OpenAI ผ่าน Tender Offer หรือการตกลงซื้อหลักทรัพย์นอกกระดานระหว่างบริษัทและผู้ถือหุ้น ที่คาดว่าจะมีมูลค่าถึง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จากการรายงานของ The Wall Street Journal ความสามารถในการดึงดูดเงินลงทุนของ OpenAI ถือได้ว่าเกินตัวไปมาก เพราะในปัจจุบัน OpenAI ยังทำรายได้ได้ในระดับสิบล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในศักยภาพการเติบโตของ OpenAI ที่จะสามารถสร้างเทคโนโลยีที่จะทำรายได้ได้มหาศาลในอนาคต
จากบริษัทไม่แสวงหาผลกำไร สู่ดาวรุ่งดวงใหม่ของวงการเทคโนโลยีสหรัฐฯ
ก่อนที่จะกลายมาเป็นยูนิคอร์นสตาร์ทอัพเนื้อหอมที่ดึงดูดเม็ดเงินเข้ามาได้มากมายแบบในปัจจุบัน OpenAI เคยเป็นบริษัทบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีแบบไม่แสวงหาผลกำไรมาก่อน โดยนักลงทุน Sam Altman กล่าวว่าเขาก่อตั้งบริษัทนี้มาเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่จะเข้ามาพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ และได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชื่อดังมากมาย เช่น Elon Musk จาก Tesla และ SpaceX และ Reid Hoffman ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ LinkedIn
อย่างไรก็ตาม Altman ได้ทำให้ OpenAI กลายเป็นบริษัทเพื่อกำไรในปี 2019 เพราะมองแล้วว่าการที่บริษัทจะหาเงินทุนเพื่อมาพัฒนาเทคโนโลยีได้เต็มประสิทธิภาพได้นั้น เขาต้องทำให้ OpenAI กลายเป็นบริษัทเพื่อการค้าก่อน ซึ่งการตัดสินใจในครั้งนี้ของเขาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
เพราะหลังจากกลายเป็นบริษัทเพื่อกำไร OpenAI ก็ได้รับเงินทุนและการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่ที่เข้ามาเร่งการพัฒนา AI ของ OpenAI ซึ่งนั้นก็คือ Microsoft ที่เข้ามาลงทุนถึง 1000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในสัญญาที่ให้ OpenAI ร่วมพัฒนา AI กับ Microsoft Azure ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการประมวลผลแบบคลาวด์ที่ดำเนินการโดย Microsoft
OpenAI+Microsoft ความร่วมมือที่คลอด DALL-E และ ChatGPT
หลังจากตัดสินใจจับมือกับ Microsoft ขีดความสามารถในการสร้าง AI ของ OpenAI ก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยสามารถสร้าง DALL-E โปรแกรม AI วาดภาพจากพรอมพ์หรือคำอธิบาย รุ่นแรกขึ้นมาได้ในปี 2021 ก่อนจะปล่อย DALL-E 2 ออกมาในเดือนเมษายนปี 2022 และปล่อย ChatGPT (แชทจีพีที) ออกมาในพฤศจิกายนปีเดียวกัน
จากไทม์ไลน์ในการปล่อยเทคโนโลยีเหล่านี้จะเห็นได้ว่า OpenAI สามารถผลิต AI ที่มีความสามารถ และเฉลียวฉลาดขึ้นมาเป็นจำนวนมากได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งนั่นก็เกิดขึ้นได้เพราะความร่วมมือกับ Microsoft ได้เปิดให้ OpenAI เข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมไปถึงแหล่ง ‘ข้อมูล’ มหาศาลในคลังข้อมูลของ Microsoft ที่ทำให้ AI ของ OpenAI มีข้อมูลจำนวนมากในการเรียนรู้ ซึ่งจะช่วยให้ AI มีความฉลาดรอบรู้เหนือ AI จากบริษัทคู่แข่งอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมีรายงานออกมาอีกว่า ในขณะนี้ Microsoft กำลังสร้าง super computer ตัวที่ 5 ที่มีสมรรถภาพสูงที่สุดในโลกให้ OpenAI ใช้เทรน AI ของตัวเอง ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถของ OpenAI ให้ทิ้งห่างคู่แข่งไปอีกในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือนี้ไม่ได้มีเพียง OpenAI เท่านั้นที่ได้ประโยชน์ เพราะการลงทุนในครั้งนี้ก็ทำให้ Microsoft มีสิทธิขาดในการใส่เทคโนโลยีของ OpenAI ในฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของตัวเอง หรือบริษัทและแพลตฟอร์มใดก็ตามที่ Microsoft มีผลประโยชน์ร่วมด้วย
โดยตัวอย่างผลประโยชน์ที่ Microsoft ได้จากของความร่วมมือนี้ ก็คือการที่ Shutterstock ได้สิทธิในการใส่ DALL-E ไว้ในแพลตฟอร์มตัวเอง เพราะถึงแม้ Microsoft จะไม่ได้เป็นเจ้าของ Shutterstock แต่ Shutterstock เป็นพาร์ทเนอร์ด้านการโฆษณากับ Microsoft และถ้า Shutterstock ได้ประโยชน์จาก DALL-E Microsoft ก็จะได้ส่วนแบ่งด้วย
นอกจากนี้ ยังมีคนคาดการณ์อีกว่า Microsoft มีแผนจะคืนชีพ Bing โปรแกรม search engine ที่แทบจะล้มหายตายจากตลาดไปแล้วขึ้นมาอีกครั้งด้วย ChatGPT (แชทจีพีที) แชทบอตที่สามารถตอบคำถามและเขียนงานขึ้นมาจากคำสั่งได้ในเวลาไม่กี่วินาที
จากประวัติและผลงานความเป็นมาเหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม OpenAI จึงแทบจะเป็นสตาร์ทอัพเทคโนโลยีบริษัทเดียวที่เติบโตขึ้นได้ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ กำลังเข้าสู่ช่วงขาลงจนเกิดมหกรรมเลย์ออฟในปีที่ผ่านมา และกลายเป็นยูนิคอร์นสตาร์ทอัพดาวรุ่งตัวใหม่ในหมู่นักลงทุน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้อนาคตของ OpenAI จะดูสดใสเจิดจ้าในตอนนี้ ก็เป็นที่น่าจับตามองว่าจะมีอะไรมาขัดขา OpenAI ให้ร่วงสู่ขาลงบ้างหรือไม่ในอนาคต เพราะถึงแม้เทคโนโลยีของ OpenAI จะเรียกได้ว่าไฮเทคล้ำยุค AI เหล่านี้ก็ยังมีปัญหาด้านจริยธรรมอยู่ โดยเฉพาะกรณีที่ว่า DALL-E และ AI วาดรูปอื่นๆ ได้ขโมยงานของศิลปินทั่วโลกไปศึกษาเพื่อสร้างงานที่ลอกเลียนแบบงานของพวกเขาได้ขึ้นมา
ซึ่งจากกรณีนี้ก็ทำให้คนตั้งข้อวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาว่า หาก OpenAI อ้างว่าจะสร้าง AI ที่เป็นประโยชน์กับมนุษย์ขึ้น เหตุใดจึงสร้าง AI ที่ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของศิลปินนับล้านมาเรียนรู้จนเก่งกาจ และสามารถแย่งงาน และทำลายวิถีชีวิตของศิลปินเหล่านั้นได้ขึ้นมา