“แซแฮบก มันนี บัดทือเซโย” เด็ก ๆ ลูกหลานทหารผ่านศึกตะโกนสวัสดีปีใหม่เป็นภาษาเกาหลีอย่างเบิกบานในระหว่างโค้งคำนับผู้หลักผู้ใหญ่อดีตทหารผ่านศึก จากนั้นก็จะได้รับซองแดงใส่เงินเป็นขวัญถุง เป็นพิธีที่ชาวเกาหลีเรียกกันว่า “แซแบ” ซึ่งถูกใช้เป็นพิธีเปิดงานตรุษเกาหลี จัดขึ้นที่ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา โดยมีทั้งครอบครัวชาวเกาหลีที่พำนักอยู่ในกรุงเทพฯ และคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสนใจ ร่วมเฉลิมฉลองวันปีใหม่กันอย่างคึกคัก
การคำนับและรับซอง แถมยังจัดขึ้นวันเดียวกับตรุษจีน อาจทำให้หลายคนเข้าใจไปว่าตรุษเกาหลีคงไม่ต่างจากตรุษจีนเท่าใดนัก แต่แท้จริงแล้ว มีความแตกต่างหลายประการ ทั้งแนวคิดและวิถีปฏิบัติ Spotlight จึงชวนผู้อ่านมาทำความรู้จัก “วันชอลลัล” หรือ “ วันปีใหม่เกาหลี” ว่ามีความแตกต่างจากตรุษจีนอย่างไรบ้าง
ฮันบกหลากสีสัน ไม่จำกัดแค่ชุดแดง: เมื่อใกล้เทศกาลตรุษจีน สิ่งแรกที่หลายคนคิดคงเป็นการเตรียมชุดแดงล่วงหน้าเพื่อใส่ในวันปีใหม่จีน ถือเคล็ดสร้างความเป็นสิริมงคล หรือสาว ๆ หลายคนก็หากี่เพ้าสีแดงสดทรงสวย ๆ มาใส่ แต่สำหรับวันตรุษเกาหลี ชาวเกาหลีจะเลือก “ฮันบก” ชุดประจำชาติสีสันสดใสมาใส่และหลีกเลี่ยงสีขาว-ดำ ในวันนี้
สำหรับงานวันปีใหม่ที่จัดขึ้น ณ ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลี ผู้ที่มาร่วมงานจะได้เห็นราวแขวนชุดฮันบกเป็นด่านแรก อีกทั้งยังมีป้ายแสดงขั้นตอนการใส่ชุดฮันบก และผูกผมด้วยโบว์สไตล์เกาหลีโบราณ สาว ๆ ที่มาร่วมงานต่างทดลองหยิบมาใส่ ช่วยกันสวมชุดและผูกผมอย่างสนุกสนาน ที่สำคัญ ทุกคนสามารถสวมชุดฮันบกตลอดการร่วมงาน สร้างความรู้สึกเหมือนได้หลุดเข้าไปอยู่ในซีรีส์เกาหลีแบบย้อนยุคเลยทีเดียว
ต๊อกกุ๊ก ซุปแห่งความโชคดี ไม่จำเป็นต้องมีเป็ด-ไก่: หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของวันตรุษจีนคือเรื่องอาหาร เพราะนอกจากจะอาหารจะเป็น “ของไหว้” แด่สิ่งศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษแล้ว ยังเป็นสื่อกลางที่ทำให้สมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาด้วยกันผ่านมื้ออาหารจัดเต็มในวันปีใหม่ หากเป็นบริบทคนไทยเชื้อสายจีน เป็ด-ไก่ หมูสามชั้น ปลาหมึกแห้ง ผลไม้ 5 - 9 อย่าง รวมถึงขนมเทียน ขนมเข่ง ขนมถ้วยฟู ขนมงาและถั่วตัด อาจเป็นภาพชินตาของหลายบ้าน
ส่วนวันตรุษจีนที่ฉลองกันในเมืองจีน แท้จริงแล้วอาจต่างออกไปจากเมืองไทยอยู่บ้าง โดยเฉพาะ “การกินปลา” เนื่องจากคำว่า “หยี่ซัง” ในภาษาจีนมีความหมายว่าปลาดิบ พ้องเสียงกับความหมายว่าอุดมสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ จะต้องมีบะหมี่ที่มีความหมายถึงความยืนยาวหรือายุยืน ปอเปี๊ยะทอดที่ลักษณะเหมือนทองแท่งเรียงเป็นชั้น ๆ และขนมเข่งภาษาจีนเรียกว่าเหนียนเหนียนกาว ซึ่งมีความหมายว่ามีความเจริญยิ่งขึ้นทุกปี นอกจากนี้อาจเพิ่มเติมอาหารท้องถิ่น แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค
สำหรับเกาหลีแล้ว อาหารที่สำคัญที่สุดในวันตรุษเกาหลีคือ “ต๊อกกุก” หรือ “ซุปเค้กข้าว” มีลักษณะเป็นซุปใสใส่แป้งต๊อกหั่นเป็นแผ่นบาง ๆ บางพื้นที่อาจทำเป็นซุปรสเผ็ด ตกแต่งด้วยไข่ ต้นหอม เนื้อวัว หรือเกี๊ยวเกาหลีที่เรียกว่า “มันดู” เนื่องจากชาวเกาหลีมีความเชื่อว่าการกินซุปเค้กข้าว 1 ถ้วย ในวันปีใหม่จะทำให้มีอายุยืนยาวไปอีก 1 ปี ส่วนเมนูเส้นเพื่อสิริมงคลด้านอายุยืนยาว ที่เกาหลีจะทำเป็นเมนู “จับแช” วุ้นเส้นผัดกับผักและเนื้อสัตว์ หรือบางบ้านอาจใช้เส้นมันเทศผัดแทน นอกจากนี้ยังมีไข่เจียวใส่ผักทำออกมาลักษณะแบนและแห้งคล้ายแพนเค้ก ส่วนเครื่องดื่มมี “ชิกฮเย” หรือน้ำข้าวเกาหลีที่มีรสหวานหอม
สนุกกับการละเล่นพื้นบ้านสไตล์เกาหลี: ในวันปีใหม่เกาหลี เด็ก ๆ และวัยรุ่นมักจะสนุกกับการละเล่นพื้นบ้านที่หลากหลาย ช่วงวันซอลลัลในเกาหลีจะตรงกับช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะและลานน้ำแข็ง ผู้คนมักจะนิยมเล่นลูกข่างบนน้ำแข็งในฤดูหนาว หรือที่เรียกว่า “แพ็งอีชีกี” โดยลูกข่างในสมัยก่อนจะต้องใช้เชือกที่ผูกไว้กับแท่งไม้ตีตัวลูกข่างให้หมุนอย่างสม่ำเสมอ และคนที่ทำให้ลูกข่างหมุนได้นานที่สุดก็จะเป็นผู้ชนะไป
หากใครได้ดูซีรีส์ดังเรื่อง “สควิด เกม” อาจเคยเห็นวิธีการเล่นของตัวละครในเกมต่าง ๆ มาก่อน และในงานวันปีใหม่เกาหลีที่จัดขึ้นในกรุงเทพฯ ครั้งนี้ เปิดโอกาสผู้เข้าร่วมงานและเด็ก ๆ สัมผัสการละเล่นอย่างแท้จริงด้วย เพราะนอกจากเกมลูกข่างแล้ว ยังมี “เชกีชากี” เป็นการละเล่นของเกาหลีที่คล้ายกับการเตะลูกฟุตบอลหรือการเตะลูกขนไก่ ซึ่งต้องแข่งกันเตะให้ไม่ตกพื้นและได้จำนวนครั้งมากที่สุดค่ะ และ “คงกีโนรี” หรือหมากเก็บเกาหลีในหมู่เด็กผู้หญิง หนึ่งในเกมที่แปลกตาคือ “ทูโฮ” เพราะต้องใช้อุปกรณ์อย่างถังที่มีรูและลูกธนู ซึ่งผู้เล่นจะต้องโยนลูกธนูใส่ห่วงเล็ก ๆ นั้นให้ได้มากที่สุด เป็นการละเล่นที่เรียบง่ายและใช้ทักษะความแม่นยำสูง
ส่วนความสนุกสนานของตรุษจีนนั้น มักเป็นการชมดนตรีหรือละครพื้นบ้านอย่าง การเชิดสิงโต ดูกายกรรมและการชมงิ้ว ในเกาหลีเองก็มีการแสดงพื้นบ้านเช่นกัน โดยในปีนี้ มีการแสดงพื้นบ้านของวง “จังดันแลบส์” เป็นวงดนตรีพื้นบ้านชื่อดังของเกาหลี ที่หอบเครื่องดนตรีเก่าแก่เป็นเอกลักษณ์มาโชว์ความสามารถและสร้างเสียงหัวเราะกันใจกลางกรุงเทพฯ
แนวคิด-ความเชื่อ ผ่านการดูดวงต้นปี: หนึ่งในมุมกิจกรรมที่สร้างความสนใจให้ผู้ชมงานไม่น้อย คือบูธการดูดวงแบบยุนโนรี ที่ดัดแปลงมาจากการละเล่น ผู้ที่ดูดวงจะต้องถือไม้ 4 แท่งขนาดใหญ่ที่มีตัวอักษรเกาหลีบันทึกอยู่บนหน้าไม้ และโยนลงกับพื้นให้กระจายออกมา ซึ่งแม่หมอจะดูว่าลักษณะของไม้ทั้ง 4 เป็นอย่างไร ก่อนจะมอบคำทำนายหรือคำอวยพรสั้น ๆ ให้กับทุกคน
ทั้งนี้ ด้านความเชื่อของคนเกาหลีเกี่ยวกับวันปีใหม่ มีความแตกต่างจากจีนด้วย ตำนานเล่ากันว่าในคืนส่งท้ายปีเก่าตามปฏิทินจันทรคติ มีวิญญาณชั่วร้ายชื่อ “ยาวังกวี” ลงมายังพื้นโลก วิญญาณนี้จะลองสวมรองเท้าในบ้าน หากสวมใส่ได้พอดีก็จะขโมยไป เชื่อกันว่าผู้ที่ทำรองเท้าหายในคืนก่อนวันปีใหม่จะประสบพบเจอกับความโชคร้าย จึงมีธรรมเนียมการซ่อนรองเท้าของคนเกาหลีด้วย
บรรยากาศวันปีใหม่ “ซอลลัล” ที่จัดขึ้นในศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีเต็มไปด้วยความสนุกสนานและความชื่นมื่น เพราะเป็นโอกาสอันดีให้ชาวเกาหลีในประเทศไทย ตั้งแต่นายพัก ยงมิน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย และคณะทูต รวมถึงอี ซอนจู ผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีประจำประเทศไทย ครอบครัวชาวเกาหลีที่พำนักอยู่ในเมืองไทย ตลอดจนนักเรียนนักศึกษาชาวเกาหลี ได้มารวมตัวกันและเฉลิมฉลองแม้จะอยู่ไกลบ้าน ขณะเดียวกัน ชาวไทยที่ชื่นชอบในวัฒนธรรมเกาหลีก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ท่ามกลางบรรยากาศอันอบอุ่น