ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส เปิดเผยว่า ข้อตกลงเพื่อสร้างสันติภาพของยูเครนใดๆก็ตาม ต้องมาพร้อมหลักประกันความมั่นคง หลังเข้าพบปะหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2025) ซึ่งตรงกับวันที่สงครามเริ่มต้นขึ้นครบ 3 ปี
ผู้นำฝรั่งเศสเปิดเผยระหว่างแถลงข่าวว่า สันติภาพที่เกิดขึ้นต้องไม่ใช่การยอมจำนนของยูเครน และต้องไม่หมายถึงการหยุดยิงโดยปราศจากหลักประกันใด ๆ ทางด้านทรัมป์ แม้ไม่ได้เอ่ยถึงหลักประกันความมั่นคงโดยตรง แต่ได้กล่าวว่าค่าใช้จ่ายและภาระในการสร้างสันติภาพในยูเครนควรเป็นความรับผิดชอบของชาติยุโรป ไม่ใช่แค่สหรัฐฯ เพียงฝ่ายเดียว
ขณะที่มาครงตอบกลับว่า ยุโรปตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องแบ่งภาระด้านความมั่นคงให้เท่าเทียมมากขึ้น พร้อมเสริมว่าการเจรจาเนื่องในวาระครบรอบสามปีของการรุกรานจากรัสเซียได้แสดงให้เห็นถึงแนวทางในการเดินหน้าต่อไป
แม้ว่าทั้งสองผู้นำจะแลกเปลี่ยนถ้อยคำที่ฟังดูแล้วอบอุ่นตลอดการประชุม แต่ยังคงเห็นชัดว่ามีความแตกต่างในประเด็นการยุติสงคราม ระหว่างการพูดคุยกับสื่อมวลชนในห้องทำงานรูปไข่ (Oval Office) และในเวลานี้ต่อมา ก็มีการแถลงข่าวร่วมกันเป็นเวลา 40 นาที
ประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นต่างกันอย่างชัดเจนคือ เรื่องหลักประกันความมั่นคง โดยทรัมป์ชี้ว่า เขาต้องการให้เกิดการหยุดยิงโดยเร็วที่สุด และกล่าวเพิ่มเติมว่า เขาจะเดินทางไปเยือนรัสเซีย เพื่อพบกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน หากสามารถบรรลุข้อตกลงดังกล่าวได้
อย่างไรก็ตาม มาครงเสนอแนวทางที่รอบคอบกว่า โดยมองว่า ควรเริ่มจากการทำข้อตกลงหยุดยิงก่อน แล้วจึงเจรจาเพื่อข้อตกลงสันติภาพในวงกว้าง ที่จะรวมถึงหลักประกันที่ชัดเจนในการปกป้องยูเครนในระยะยาว โดยมาครงกล่าวว่า เราต้องการสันติภาพโดยเร็ว แต่ไม่ต้องการข้อตกลงที่อ่อนแอ
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองผู้นำเห็นพ้องกันว่า ข้อตกลงสันติภาพใด ๆ ควรรวมถึงการส่งกองกำลังรักษาสันติภาพจากยุโรปไปยังยูเครน
ขณะที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียเมื่อวานนี้เช่นกัน การสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่กรุงเคียฟรำลึกถึงครบรอบ 3 ปีแห่งการรุกรานจากรัสเซีย ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนจากรัฐบาลจีนว่า ความสัมพันธ์กับพันธมิตรทางการทูตสำคัญอย่างรัสเซียจะไม่ถูกสั่นคลอน แม้ว่าสหรัฐฯ จะพยายามฟื้นความสัมพันธ์กับรัฐบาลรัสเซีย
สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า สี จิ้นผิง กล่าวกับปูตินว่า ประวัติศาสตร์และความเป็นจริงแสดงให้เห็นว่า จีนและรัสเซียเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ซึ่งไม่อาจถูกทำให้ห่างเหิน และเป็นมิตรแท้ที่แบ่งปันทั้งสุขและทุกข์ร่วมกัน ซึ่งนี่เป็นวาทะเดียวกันกับที่เคยกล่าวในวาระครบรอบ 70 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศในปี 2019
สี จิ้นผิง กล่าวเพิ่มเติมว่า ยุทธศาสตร์การพัฒนาและนโยบายต่างประเทศของจีนและรัสเซียถูกวางแผนในระยะยาว พร้อมยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศจะไม่ถูกชี้นำหรือได้รับอิทธิพลจากบุคคลที่สามใด ๆ
ด้านรัฐบาลรัสเซียได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า การสนทนาครั้งนี้เป็นไปในบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นมิตร แต่ไม่ได้กล่าวถึงความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอย่างละเอียดเท่ากับถ้อยแถลงของปักกิ่ง โดยผู้นำทั้งสองเน้นย้ำเป็นพิเศษว่า ความร่วมมือด้านนโยบายต่างประเทศระหว่างรัสเซียและจีนเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างเสถียรภาพในเวทีระหว่างประเทศ และเป็นความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลจากภายนอก
ขณะที่ในกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครน จัดพิธีรำลึกถึง “3 ปีแห่งความกล้าหาญอย่างแท้จริงของชาวยูเครน” ก่อนจะเป็นเจ้าภาพจัดงานต้อนรับผู้นำจากทั่วโลกที่เดินทางมาเข้าร่วม ทั้งประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ประธานสภายุโรป และผู้นำจากประเทศแคนาดา เดนมาร์ก ไอซ์แลนด์ ลัตเวีย ลิทัวเนีย ฟินแลนด์ นอร์เวย์ สเปน รวมถึงสวีเดน ส่วนผู้นำประเทศที่ไม่มาก็ได้กล่าวสุนทรพจน์ผ่านวิดีโอ เช่น ผู้นำจากสหราชอาณาจักร เยอรมนี และญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม งานที่จัดขึ้น ไม่มีตัวแทนจากสหรัฐฯ เข้าร่วม
ด้านประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้กล่าวกับผู้เข้าร่วมงานว่า ต้องเร่งส่งอาวุธและกระสุนให้เร็วขึ้น พร้อมย้ำว่าสงครามครั้งนี้ยังคงเป็น วิกฤตสำคัญที่สุดและมีผลกระทบต่ออนาคตของยุโรปมากที่สุด
การที่สหรัฐฯไม่เข้าร่วมงานครั้งนี้ ยังสะท้อนให้เห็นท่าทีของสหรัฐฯที่เปลี่ยนไปภายใต้รัฐบาลใหม่ของทรัมป์ เพราะเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ลงคะแนนเสียงร่วมกับรัสเซีย คัดค้านมติที่ร่างโดยยุโรป ประณามการกระทำของมอสโกและสนับสนุนอธิปไตยเหนือดินแดนของยูเครน แม้ว่ามติดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ในนครนิวยอร์กในที่สุด
โดยสมาชิก UNGA ลงคะแนนเสียงสนับสนุนมติจากยุโรป 93 เสียง แต่สหรัฐฯ ไม่ได้งดออกเสียง กลับลงคะแนน คัดค้าน ร่วมกับรัสเซีย อิสราเอล เกาหลีเหนือ ซูดาน เบลารุส ฮังการี และอีก 11 ประเทศ