นักวิชาการโคราช ผิดหวังโผ ครม.แพทองธาร1 เตือน 3 ประเด็นร้อน อาจซ้ำรอย เศรษฐา

31 ส.ค. 67

 

นักวิชาการโคราช ผิดหวังโผ ครม.แพทองธาร1 เตือน 3 ประเด็นร้อน อาจซ้ำรอย เศรษฐา หลุดเก้าอี้นายกฯ 

วันที่ 31 ส.ค. 67 นาย ทวิสันต์ โลณานุรักษ์ นักวิชาการอิสระ และอดีตเลขาธิการหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นต่อโผ คณะรัฐมนตรีแพทองธาร1ว่า สำหรับการแต่งตั้ง ครม.แพทองธาร1 ครั้งนี้ มีอยู่ 3 เรื่องที่จะต้องจับตาเป็นพิเศษ ได้แก่ 

1.เรื่องการตรวจสอบคุณสมบัติ เพราะที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่า กรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน ไปแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จนกลายเป็นต้นเหตุให้นายเศรษฐา ต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ดังนั้นครั้งนี้จึงต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีอย่างเข้มงวด ซึ่งเชื่อว่าทั้งกฤษฎีกา และเลขานุการ ครม.จะต้องใช้เวลาตรวจสอบนานพอสมควร เพราะ ครม.มีถึง 36 คน ถ้าตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว ก็ต้องไปส่งให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ทูลเกล้าถวาย ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจึงเป็นผู้รับผิดชอบการแต่งตั้งครั้งนี้ทั้งหมด ถ้ามีรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งขาดคุณสมบัติ ก็จะเจอคดีเดียวกันกับนายเศรษฐา ซึ่งส่งผลทำให้หลุดจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้เช่นกัน ตนเองจึงไม่มั่นใจว่าจะสามารถตรวจสอบเสร็จทันกำหนดในวันที่ 18 ก.ย.67 ตามไทม์ไลน์ที่พรรคเพื่อไทยกำหนดไว้หรือไม่ 

2.เรื่องคุณภาพของรัฐมนตรี ซึ่งโดยปกติแล้วถ้าเป็นบริษัทเอกชน เขาจะหาคนที่เข้าใจงานมาทำงานบริหารบริษัท เพื่อให้บริษัทเติบโตและมีผลกำไรได้ ดังนั้นการจะเอาใครมาเป็นผู้บริหารประเทศชาติ ก็จะต้องยิ่งคัดสรรเข้มข้นกว่า เพราะถ้าใช้คนผิดกับงาน จะทำให้ประเทศชาติพังเสียหายได้มหาศาล แต่เท่าที่ดูรายชื่อโผ ครม.ชุดนี้แล้ว ต้องบอกตามตรงว่าน่าผิดหวังมาก เพราะเป็นการจัดตั้ง ครม.ตามโควตาเสียมากกว่า เช่น เอานักวิชาการมาเป็น รมว.เกษตรฯ หรือเอาตำรวจมาบริหารการศึกษา เป็นต้น ซึ่งถ้าผิดฝั่งผิดฝาเช่นนี้แล้ว ก็ทำให้ประชาชนคาดหวังอะไรไม่ได้เลย 

3.เรื่องพรรคการเมือง ซึ่งในอดีต การจะจัดตั้งรัฐบาล จะต้องยึดคนในพรรคการเมืองต่างๆ เป็นหลัก ถ้ามติพรรคการเมืองใดออกมาว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาล ก็ต้องไปทั้งพรรค แต่ขณะนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว มีการแยกเป็นกลุ่มออกจากพรรคการเมืองตัวเองที่อยู่ฝ่ายค้าน แล้วมาร่วมรัฐบาลเฉพาะกลุ่ม แถมยังได้ตำแหน่งรัฐมนตรีถึง 3 คนอีก ทำเช่นนี้จะส่งผลให้พรรคการเมืองไทยอ่อนแอลงเรื่อยๆ ต่อไปก็คงจะไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมืองแล้ว ถ้าใครรวบรวมกลุ่ม ส.ส.ได้มาก ก็มีอำนาจต่อรองได้เต็มที่ โดยไม่ต้องสนใจว่าจะมาจากพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น แล้วประชาชนจะไปหวังกับนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองใดได้อีก

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวการเมือง เป็นกระแส