Starbucks หนึ่งในเชนร้านกาแฟที่ใหญ่ และ ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก เพราะนอกเหนือจากเมนูเครื่องดื่มที่มีหลากหลายรสชาติเอาใจทั้งคอกาแฟ และคนที่ไม่ดื่มคาเฟอีน ยังมีเมนูอาหารที่หลากหลายเหมาะสำหรับคนเมืองที่ใช้ชีวิตเร่งรีบ อย่างการสั่ง Grab & Go หรือ Drive Through อีกด้วย
เเละตอนนี้กําลังเรียกเสียงฮือฮา จากผู้บริโภคชาวไทย เมื่อมีการออกแถลงการณ์จาก Starbucks ประเทศไทย เมื่อวันที่ 4 ม.ค.67 ที่ผ่านมา ถึงการขอปรับขึ้นราคาเครื่องดื่ม 5 บาท เนื่องด้วยภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทําให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดําเนินการเเละจัดการเพิ่มสูงขึ้น
ย้อนกลับไปในปี 1971 สตาร์บัคส์ร้านแรกเปิดตัวขึ้นในเมืองซีแอตเติลของสหรัฐอเมริกา โดยหุ้นส่วน 3 คน นั้นก็คือ เจอร์รี บัลด์วิน (Jerry Baldwin), เซฟ ซีเกิล (Zev Siegl) และ กอร์ดอน โบว์เกอร์ (Gordon Bowker) พวกเขาทั้ง 3 คน เคยเป็นเพื่อนกันสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งซานฟรานซิสโก แม้ว่าพวกเขาจะประกอบอาชีพที่แตกต่างกันทั้งเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ครูสอนประวัติศาสตร์ และนักเขียน แต่มีความหลงใหลและชื่นชอบในสิ่งเดียวกัน นั้นก็คือการดื่มกาแฟ ทำให้ทั้งให้ทั้ง 3 คน ตัดสินใจที่จะหุ้นส่วนกันเพื่อเปิดร้านกาแฟเล็ก ๆ ในชื่อว่า “พีควอด” (Pequoad) ซึ่งเป็นชื่อ เรือที่ลากวาฬในวรรณกรรมคลาสสิกอย่าง ‘โมบี้ดิ๊ก’ แต่หลังจากได้คำแนะนำของหลายคนว่า ชื่อมันออกเสียงยากไป ทำให้พวกเค้าเปลี่ยนไปใช้ชื่อต้นหนของเรืออย่าง “สตาร์บัคส์” (Starbuck) แทน
หลายๆคนคงรู้จักแบรนด์สตาร์บัคส์ ภายใต้ชื่อการบริหารของคุณ โฮเวิร์ด ชูลทซ์ (Howard Schultz) แต่รู้หรือไม่ โฮเวิร์ด เริ่มจากการเป็นลูกค้าของร้าน จนกลายเป็นลูกจ้างนักการตลาดของสตาร์บัคส์มาก่อน
ซึ่งในปี 1982 โฮเวิร์ด ได้มาเยือนร้านกาแฟเล็กๆ นามว่า Starbucks ที่ขณะนั้นยังขายเฉพาะ “เมล็ดกาแฟ” ในเมืองซีแอตเทิล โดยหลังจากที่ฮาวเวิร์ดได้ลองชิมกาแฟที่ร้านสตาร์บัคส์ เขาก็ตกหลุมรักในตัวธุรกิจนี้ในทันที พร้อมกับความคิดอยากเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของธุรกิจนี้ให้ได้ เขาได้ตัดสินใจมาทำงานด้านการตลาดให้กับ Starbucks ในค่าจ้างที่น้อยกว่าเงินเดือนปัจจุบันถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
ในช่วงเวลานั้นที่ โฮเวิร์ด ได้ทำงานให้กับสตาร์บัคส์ ได้เดินทางไปอิตาลี เพื่อไปซึมซับสัมผัสกับวัฒนธรรมกาแฟจากเมืองหลวงแห่งเอสเพรสโซ ซึ่งนั้นก็คือมิลาน ปรากฏว่าเขาประทับใจกับวัฒนธรรมกาแฟแบบอิตาลีมาก โฮเวิร์ด ได้แวะร้านกาแฟที่เรียกว่า Espresso Bar ในมิลาน มากกว่า 500 แห่ง เพื่อทำความรู้จักและศึกษาวัฒนธรรมกาแฟของมิลานให้ได้มากที่สุด
พอกลับมาที่สหรัฐ โฮเวิร์ด จึงบอกกับนายจ้างของตัวเองว่า ร้านสตาร์บัคส์ควรจะหันมาเปิดเป็นร้านจริงจัง เพื่อขายกาแฟแบบเอสเพรสโซ่ ด้วยวัฒนธรรมกาแฟแบบอิตาลี ซึ่งในการทดลองขายก็เป็นไปได้ด้วยดี แต่ปัญหาก็คือเครื่องทำกาแฟมีราคาแพง และเอาเข้าจริง คนอเมริกันทั่วไปก็ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับกาแฟแบบใหม่นี้ สุดท้ายเลยตัดสินใจว่ายังไม่ทำ นั่นทำให้โฮเวิร์ด ตัดสินใจลาออก เพื่อไปเปิดร้านกาแฟตามที่เขาต้องการ
โดยร้านกาแฟที่โฮเวิร์ด ตั้งใจเปิดมีชื่อว่า Il Giornale ซึ่งเป็นการสร้างวัฒนธรรมกาแฟแบบใหม่ในซีแอตเติลในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน นั้นก็คือเป็นร้านกาแฟที่เปิดเพลงโอเปร่าในร้าน
อีกสองปีต่อมา Il Giornale ก็เข้าซื้อ Starbucks จากเจ้าของเดิมได้ในราคา 3.8 ล้านเหรียญฯ และเปลี่ยนชื่อ Il Gionarle มาเป็น Starbucks เต็มตัว ซึ่งนั้นนับว่าเป็นจุดกำเนิดประวัติศาสตร์ของสตาร์บัคส์
โฮเวิร์ด ต้องการการสร้างร้านกาแฟให้เป็น Social Hub หรือเป็นศูนย์กลางของชุมชน
ทำให้กลยุทธ์ทางการตลาดของสตาร์บัคส์ เปิดร้านเปิดร้านขายกาแฟขยายสาขาออกไปเรื่อยๆ เพื่อให้ สตาร์บัคส์กลายมาเป็นร้านกาแฟที่คนมานั่งรวมตัวกันในทุกที่ ในทุกย่านของเมือง แบบเดียวกับที่เอสเพรสโซบาร์ ที่เป็นศูนย์รวมผู้คนของมิลาน
แต่ความคิดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล และไม่มีใครเชื่อว่าการขยายสาขาเปิดตัวออกไปเรื่อยๆ จะทำให้เขารักษาคุณภาพของร้านกาแฟเอาไว้ได้
ปัจจุบัน Starbuck จัดว่าเป็นร้านกาแฟเจ้าแรก ที่คิดค้นวัฒนธรรม Third Place สถานที่ที่ 3 ที่คนมักไปรวมตัวกันนอกเหนือจาก บ้าน และ ที่ทำงาน โดยเรียกว่า HOS (Home – Office – Starbucks) เพราะผู้คนมักใช้พื้นที่ Starbucks เป็นจุดนัดพบ พูดคุยกับเพื่อน นั่งทำอ่าน อ่านหนังสือ หรือแม้กระทั้งนั่งจิบกาแฟเฉยๆเพื่อดื่มด่ำบรรยากาศ
หลายๆคนที่ดูโลโก้ Starbuck ผ่านๆ อาจจะคิดว่า รูปผู้หญิงบนโลโล้สตาร์บัคนั้น คือรูปนางเงือก แต่จริงๆแล้วผู้หญิงคนนั้นคือ ‘ไซเรน’
ไซเรน (Siren) ตามตำนานนั้น เป็นอมนุษย์ที่มีรูปร่างหน้าตาสะสวย เป็นสาวงามแต่ว่ามีขาเป็นครีบปลาคล้ายนางเงือก แต่พออยู่บนบกก็จะมีปีกบินได้ ทั้งนี้ลักษณะทั่วไปของไซเรนจะแตกต่างกันไปในแต่ละตำนาน ด้านความสามารถเป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องการ
สะกดจิตผู้คนให้ทำตามคำสั่งของตัวเอง ด้วยบทเพลง และเสียงอันไพเราะ เมื่อก่อนเชื่อกันว่าบรรดานักเดินเรือพอได้ยินเสียงของไซเรน ต่างก็ตกอยู่ในภาวะไร้สติ บังคับเรือไม่ได้ ชนหินโสโครกจนจมน้ำ และถูกนำไปเป็นอาหารในที่สุด ซึ่งเหมือนกับ สตาร์บัคสามารถดึงดูดคนเข้าร้านด้วยกลิ่นหอมของกาแฟ
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมแก้วเครื่องดื่มของ Starbucks ถึงไม่เรียกว่าไซส์ S M L เหมือนกับร้านกาแฟอื่นๆ แต่กลับเลือกใช้คำที่ไม่ค่อยคุ้นหูอย่าง Tall, Grande และ Venti แทน
เรื่องนี้ ก็มีที่ไปที่มาจากคุณ โฮเวิร์ด ที่ได้รับแรงบันดาลใจอยากจะนำวัฒนธรรมการดื่มกาแฟแบบอิตาลี มาเผยแพร่ต่อที่สหรัฐอเมริกา โดยคุณ โฮเวิร์ด ได้สร้างบรรยากาศภายในร้านให้มีกลิ่นอายแบบอิตาลี และในขณะเดียวกัน เขายังได้ใส่กิมมิคเล็ก ๆ เพื่อต้องการสร้างความแตกต่างให้แก่แบรนด์ ทำให้เขาเลือกใช้ชื่อขนาดแก้วเป็นภาษาอิตาเลียนนั่นเอง
ดังนั้นไซส์ Tall ก็จะกลายมาเป็น แก้วเล็ก (S) , Grande เป็นแก้วกลาง (M) และ Venti เป็นแก้วใหญ่ (L)
ปัจจุบัน Starbucks มีสาขาทั่วโลกรวมกันทั้งหมดประมาณ 35,600 สาขา ใน 80 ประเทศทั่วโลก แบ่งเป็นสาขาที่บริหารเอง 18,200 สาขา และให้สิทธิ์ในการบริหาร 17,400 สาขา โดยจำนวนสาขาที่เยอะที่สุด ยังคงเป็นของประเทศต้นกำเนิดอย่าง สหรัฐอเมริกา ที่มีถึง 15,800 สาขา, จีน 6,000 สาขา, เกาหลีใต้ 1,750 สาขา และ ญี่ปุ่น 1,630 สาขา
สตาร์บัคส์ ได้เข้ามาดำเนินกิจการในประเทศไทย และเปิดร้านสาขาแรกเมื่อเดือนก.ค. 2541 ปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 465 สาขา โดยในนามบริษัท คอฟฟี่ คอนเซ็ปต์ ประเทศไทย บริษัทที่ร่วมทุนระหว่างบริษัท เอฟแอนด์เอ็นรีเทล คอนเนคชั่น จำกัด หนึ่งในบริษัทลูกของไทยเบฟ กับ แม็กซิมส์ เคเทอร์เรอร์ จำกัด ยักษ์ใหญ่ด้านอาหารจากฮ่องกง
ผลประกอบการ 4 ปี ย้อนหลังของสตาร์บัคส์ ประเทศไทย