OpenAI กำลังเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่จะให้ลูกค้าองค์กรสามารถใช้ข้อมูลบริษัทของตนเองเพื่อปรับแต่งโมเดล ‘GPT-4o’ หลังเผชิญกับการแข่งขันผลิตภัณฑ์ AI ที่เพิ่มขึ้นสำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจ และในเวลาเดียวกันที่ธุรกิจต่างๆ กำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น ในการทำกำไรจากการลงทุนใน AI
โดย OpenAI วางแผนที่จะเปิดตัวฟีเจอร์ในการปรับแต่ง เรียกกันทั่วไปในอุตสาหกรรม AI ว่า ‘fine-tuning’ หรือการปรับแต่งอย่างละเอียด ภายในวันอังคาร ซึ่งช่วยให้โมเดล AI ที่มีอยู่ได้รับการฝึกอบรมจากข้อมูลเพิ่มเติม ที่เกี่ยวกับงานประเภทใดประเภทหนึ่งหรือสาขาวิชาเฉพาะ
ยกตัวอย่างเช่น บริษัทที่ผลิตสเก็ตบอร์ดอาจปรับแต่งโมเดล AI อย่างละเอียดเพื่อให้สามารถใช้เป็นแชทบอทบริการลูกค้า เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับล้อและลักษณะเฉพาะของการดูแลกระดานได้
ฟีเจอร์การปรับแต่งสำหรับรุ่นเรือธงของ OpenAI นี้ ไม่เคยมีอยู่ในรุ่น GPT-4o หรือรุ่น GPT-4 มาก่อน แต่สำหรับ GPT-4o mini รุ่นที่ราคาถูกกว่า และมีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่น GPT-4o อนุญาตให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้
ไม่ใช่แค่ OpenAI เท่านั้น แต่บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ได้เพิ่มฟีเจอร์การปรับแต่งโมเดล AI ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ซึ่ง OpenAI กำลังพยายามทำให้ลูกค้าปรับแต่งโมเดลที่ทรงพลังที่สุดได้ง่ายขึ้น แทนที่จะใช้บริการภายนอกหรือผลิตภัณฑ์ที่ทรงพลังน้อยกว่า
Olivier Godement หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์สำหรับ API ของ OpenAI กล่าวว่า “บริษัทให้ความสำคัญอย่างยิ่ง กับการเข้าถึงโมเดล AI ที่ง่ายขึ้น การลดระดับการเสียดสี และปริมาณงานที่ต้องใช้ในการเริ่มต้น เพื่อรองรับจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น”
ส่วน John Allard วิศวกรซอฟต์แวร์ OpenAI ที่ทำงานเกี่ยวกับการปรับแต่งกล่าวว่า หากต้องการปรับแต่งโมเดล ลูกค้าจะต้องอัปโหลดข้อมูลของตนไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ OpenAI ซึ่งการฝึกอบรมใช้เวลาโดยเฉลี่ยเพียงหนึ่งหรือสองชั่วโมง โดยในตอนแรก ผู้ใช้งานจะสามารถปรับแต่งโมเดลด้วยข้อมูลที่เป็นข้อความเท่านั้น ไม่ใช่รูปภาพหรือเนื้อหาอื่นๆ
[ ร่วมมือ Condé Nast ใช้เนื้อหานิตยสารฝึก AI ]
นอกจากนี้ OpenAI ได้ทำสัญญาระยะยาวกับบริษัทนิตยสาร ‘Condé Nast’ เพื่อใช้เนื้อหาในการฝึกโมเดล AI รวมถึง SearchGPT หลังจากต้องการข้อมูลจำนวนมากในการเทรน ซึ่งข้อมูลต่างๆ มาจากแบรนด์ชั้นนำอย่างเช่น Vogue, The New Yorker และ Wired
ในปีที่ผ่านมา OpenAI ได้ทำข้อตกลงที่คล้ายกันกับบริษัทสื่ออื่นๆ เช่น Axel Springer, The Atlantic และ Vox Media ในการนำข้อมูลมาเทรนโมเดล AI โดยตรง
อย่างไรก็ตาม บริษัทสื่อบางแห่ง ปฏิเสธที่จะทำงานร่วมกับ OpenAI เช่น ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา The New York Times ฟ้อง OpenAI เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าใช้บทความของตนโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ OpenAI จะปฏิเสธข้อกล่าวอ้างเหล่านี้ และระบุว่า The New York Times ไม่ได้พูดความจริงทั้งหมดก็ตาม
ถึงแม้ว่ารายละเอียดทางการเงินของข้อตกลงกับ Condé Nast ในครั้งนี้ ยังไม่ได้ถูกเปิดเผย แต่การประกาศความร่วมมือในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า OpenAI กำลังทำงานร่วมกับบริษัทสื่อ แทนที่จะต่อสู้กับวิธีการนำบทความข่าวและเนื้อหาอื่นๆ มาใช้เทรนเครื่องมือ AI โดยตรง
Roger Lynch ซีอีโอของ Condé Nast กล่าวว่า การเข้าถึงผู้คน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม เป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งหมายถึงการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI ซึ่งตรงกับเป้าหมายในการร่วมมือกับ OpenAI อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินการนี้ เนื้อหาของ Condé Nast ได้รับเครดิตอย่างถูกต้อง และบริษัทต้องได้รับค่าตอบแทนสำหรับการใช้งานดังกล่าว
ส่วน Brad Lightcap ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ OpenAI กล่าวว่า บริษัทมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับ Condé Nast และสื่ออื่นๆ เพื่อให้แน่ใจว่า AI มีความสำคัญมากขึ้นในการค้นหาและส่งมอบข่าว มันยังคงถูกต้อง เชื่อถือได้ และเคารพต่อการรายงานคุณภาพ