ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน อุตสาหกรรมสื่อไทยก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน วลี "Media Never Stop Moving" หรือ "นวัตกรรมสื่อไม่มีวันหยุดนิ่ง" ได้สะท้อนให้เห็นถึงความจริงข้อนี้ได้เป็นอย่างดี
บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาคุณสำรวจภาพรวมของสื่อไทยในยุคดิจิทัล ตั้งแต่พฤติกรรมการบริโภคสื่อที่เปลี่ยนแปลงไป แนวโน้มของสื่อแต่ละประเภท ไปจนถึงกลยุทธ์ที่ธุรกิจสามารถนำมาปรับใช้เพื่อให้เท่าทันยุคสมัยที่สื่อมีความหลากหลายและกระจัดกระจายมากขึ้น
ในโลกธุรกิจยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง วลี "Media Never Stop Moving" ที่ปรากฏในภาพสะท้อนให้เห็นถึงความจริงข้อนี้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในประเทศไทยที่อุตสาหกรรมสื่อมีการเติบโตและแข่งขันสูง
โดย Nielsen ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูล ได้รายงานว่า ปัจจุบัน ภูมิทัศน์สื่อของไทยมีความหลากหลายและกระจัดกระจายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการเข้าถึงข้อมูลและความบันเทิงมากมาย ทำให้การเข้าถึงและดึงดูดความสนใจของพวกเขากลายเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับธุรกิจ
ถึงแม้ว่าทีวีจะยังคงเป็นช่องทางหลักที่เข้าถึงผู้บริโภคไทยได้ถึง 87% แต่การเติบโตของบริการสตรีมมิ่งก็ไม่อาจมองข้าม โดย 52% ของผู้บริโภคเลือกใช้บริการสตรีมมิ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการคอนเทนต์ที่เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา ความนิยมของ Live TV ที่ 71% ก็ยังคงแสดงให้เห็นว่าประสบการณ์การรับชมแบบเรียลไทม์ยังคงมีคุณค่า
ดิจิทัลคืออนาคต และ สื่อนอกบ้านและสื่อโฆษณายังมีบทบาท
อินเทอร์เน็ตเข้าถึงผู้บริโภคไทยได้ถึง 91% และโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมอย่างสูงถึง 89% แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของโลกออนไลน์ที่มีต่อชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ด้านบริการสตรีมมิ่งเพลงได้รับความนิยมถึง 56% และพอดแคสต์ก็มีผู้ฟังเพิ่มขึ้นเป็น 27% บ่งชี้ว่าคอนเทนต์เสียงกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น
ด้านสื่อนอกบ้าน (Out-of-Home: OOH) สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ 58% โดยเฉพาะสื่อที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง (Transit) ซึ่งมีสัดส่วนผู้รับชม 28% นี่แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคในขณะเดินทาง ในขณะเดียวกัน สื่อโฆษณาทั่วไปยังคงมีบทบาทในการเข้าถึงผู้บริโภค
จากข้อมูลแสดงให้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสสำหรับธุรกิจในยุคที่สื่อมีความหลากหลายและกระจัดกระจาย ผู้บริโภคมีอำนาจในการเลือกสรรคอนเทนต์ที่ตนเองต้องการบริโภค ธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวและนำกลยุทธ์ที่หลากหลายมาใช้เพื่อเข้าถึงและสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภค อาทิ
ธุรกิจที่สามารถปรับตัวและเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัลนี้ได้อย่างลึกซึ้ง จะเป็นผู้ที่สามารถประสบความสำเร็จและได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดที่มีความท้าทายสูงนี้
แม้ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลและสื่อสังคมออนไลน์เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การรับชมโทรทัศน์ยังคงเป็นกิจกรรมสื่อที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มประชากร ข้อมูลจาก The Matt Company และ Nielsen ในปี 2024 ชี้ให้เห็นว่ากิจกรรม "ดูทีวี" ยังคงได้รับความนิยมสูงสุด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใหญ่ (Mature 55+) ซึ่งมีสัดส่วนผู้ชมสูงถึง 61% ในขณะที่คนรุ่นใหม่ Gen Z และ Gen Y ก็ยังคงให้ความสำคัญกับการรับชมโทรทัศน์ในสัดส่วน 47% และ 54% ตามลำดับ
ผลสำรวจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าโทรทัศน์ยังคงมีบทบาทสำคัญในการเข้าถึงผู้ชมในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการรับชมข่าวสาร ความบันเทิง หรือรายการต่างๆ ที่ตอบสนองความสนใจของแต่ละกลุ่ม นอกจากนี้ การรับชมโทรทัศน์ยังสามารถเป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกันได้ในครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน ซึ่งส่งเสริมความสัมพันธ์และการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้ไม่ได้บ่งชี้ว่าสื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ ไม่มีบทบาท ในทางตรงกันข้าม การเติบโตของเทคโนโลยีเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการรับชมคอนเทนต์ของผู้คนไปอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ชมในปัจจุบันมีทางเลือกในการรับชมคอนเทนต์ที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผ่านโทรทัศน์แบบดั้งเดิม บริการสตรีมมิ่งออนไลน์ หรือแม้แต่ผ่านสมาร์ทโฟน
ดังนั้น ภาคธุรกิจและผู้ผลิตคอนเทนต์จำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป การสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่น่าสนใจและมีคุณภาพ ตลอดจนการนำเสนอผ่านช่องทางที่หลากหลาย จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเข้าถึงและดึงดูดผู้ชมในยุคดิจิทัลนี้
จากข้อมูลในภาพพบว่า 67% ของคนไทยรับชมเนื้อหาวิดีโอออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดวิดีโอออนไลน์ในประเทศไทย และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาให้ความสนใจกับการรับชมคอนเทนต์ผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น
AVOD ยังคงเป็นที่นิยม
SVOD เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ในยุคที่ผู้บริโภคมีอุปกรณ์หลากหลายให้เลือกใช้ในการเข้าถึงเนื้อหาออนไลน์ การสตรีมมิ่งก็กลายเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่คำถามสำคัญคือ อุปกรณ์ใดที่ผู้บริโภคเลือกใช้มากที่สุด? ข้อมูลจาก Nielsen Cross Platform Ratings เผยให้เห็นถึงพฤติกรรมที่น่าสนใจของผู้บริโภคในการรับชมบริการสตรีมมิ่ง
สมาร์ททีวีและสมาร์ทโฟน สองผู้นำแห่งยุค Multi-Screen
คอมพิวเตอร์และแท็บเล็ต ยังคงมีบทบาท
Watching OTT ranked among the top 3 online activities in Thailand พบว่าพฤติกรรมของผู้ใช้ออนไลน์ในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตของการรับชม OTT (Over-the-top) ซึ่งหมายถึงบริการสตรีมมิ่งวิดีโอผ่านอินเทอร์เน็ต
การรับชม OTT ก้าวกระโดด
การเติบโตอย่างต่อเนื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นของบริการสตรีมมิ่งในประเทศไทย ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจกับการรับชมคอนเทนต์วิดีโอออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Netflix, YouTube, และบริการท้องถิ่นอื่นๆ มากขึ้น
โซเชียลเน็ตเวิร์กและแชท ยังคงเป็นกิจกรรมหลัก
โซเชียลเน็ตเวิร์กยังคงเป็นกิจกรรมออนไลน์อันดับหนึ่งที่มีผู้ใช้งานมากที่สุด โดยมีสัดส่วนผู้ใช้งานคงที่อยู่ที่ 84% ในช่วงปี 2022 ถึง 2024 ด้านการแชทเป็นกิจกรรมอันดับสองที่มีผู้ใช้งาน 80% ในปี 2024 ซึ่งลดลงเล็กน้อยจาก 81% ในปี 2023
TV dominates media spending in Thailand with 50% สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะมีการเติบโตของสื่อดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง แต่โทรทัศน์ยังคงเป็นช่องทางหลักที่นักการตลาดไทยให้ความสำคัญในการใช้งบประมาณโฆษณา โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 50% ของงบประมาณสื่อทั้งหมดในช่วงเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2567 หรือคิดเป็นมูลค่า 33,875 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม งบประมาณโฆษณาทางโทรทัศน์ลดลง 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่อินเทอร์เน็ต (รวมถึงสื่อดิจิทัลต่างๆ) มีการเติบโตอย่างโดดเด่นถึง 8% คิดเป็นมูลค่า 18,409 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปให้ความสนใจกับสื่อออนไลน์มากขึ้น
สื่อนอกบ้าน (Out of Home) ก็มีการเติบโตที่น่าสนใจเช่นกัน โดยมีอัตราการเติบโต 8% และมีมูลค่า 9,765 ล้านบาท สื่อประเภทนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญในการเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง ในทางกลับกัน สื่อดั้งเดิมอย่างวิทยุและสิ่งพิมพ์ต้องเผชิญกับความท้าทาย โดยมีอัตราการเติบโตลดลง 4% และ 30% ตามลำดับ นอกจากนี้ สื่อภาพยนตร์กลับมาคึกคักอีกครั้ง ด้วยการเติบโตสูงถึง 35%
Live TV takes the top spot in video consumption บ่งชี้ว่าการรับชมโทรทัศน์สด (Live TV) ยังคงเป็นกิจกรรมยอดนิยมของผู้ชมชาวไทย โดยมีจำนวนผู้ชมสูงถึง 47.8 ล้านคน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจะมีผู้ใช้งานจำนวนมากถึง 31.1 ล้านคน แม้ว่าตอนนี้ยังไม่สามารถเทียบเคียงกับจำนวนผู้ชมโทรทัศน์สดได้แต่ก็เรียกได้ว่าหายใจลดต้นคอ
อย่างไรก็ตาม บริการสตรีมมิ่งก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง OTT box ซึ่งมีผู้ใช้งาน 15.1 ล้านคน และแพลตฟอร์ม SVOD (Subscription Video on Demand) ที่มีผู้ใช้งาน 8.2 ล้านคน นอกจากนี้ แพลตฟอร์มของผู้ให้บริการโทรทัศน์ (Broadcaster platform) ก็มีผู้ใช้งาน 5.3 ล้านคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ชมยังคงให้ความสำคัญกับเนื้อหาจากผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ดั้งเดิม
Younger gen lean towards premium content ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่าสนใจในพฤติกรรมการบริโภคสื่อของคนรุ่นใหม่ (Gen Z และ Gen Y) เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 40 ปีขึ้นไป (Mature) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความโน้มเอียงไปสู่คอนเทนต์พรีเมียมที่ชัดเจน
คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ
ทีวีและโซเชียลมีเดียยังคงเป็นช่องทางหลัก
OTT Box กำลังมาแรง
Bangkokians with cross-platform consumption habits ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมการบริโภคสื่อที่หลากหลายของชาวกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผสมผสานระหว่างสื่อดั้งเดิมอย่างโทรทัศน์ และแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
ทีวียังคงเป็นช่องทางหลัก
สตรีมมิ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
ข้อมูล บ่งชี้ว่าชาวกรุงเทพฯ มีพฤติกรรมการรับชมคอนเทนต์แบบผสมผสาน โดยมีการรับชมทั้งทีวีแบบดั้งเดิมและแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่างๆ
ยุคที่สื่อมีพลวัตและผู้บริโภคสามารถเข้าถึงเนื้อหาผ่านหลากหลายช่องทาง ธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์สื่ออย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. สื่อไม่เคยหยุดนิ่ง กลยุทธ์ผสมผสานสื่อยังคงเป็นสิ่งจำเป็น
2. สตรีมมิ่งคืออนาคต
3. การจัดการกับความหลากหลายของสื่อด้วยการวัดผลข้ามแพลตฟอร์ม
ความจำเป็นที่แบรนด์ต้องปรับตัวให้เท่าทันยุคดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ผสมผสานสื่อ การสร้างสรรค์เนื้อหาสำหรับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และการวัดผลข้ามแพลตฟอร์ม เพื่อให้สามารถเข้าถึงและเข้าใจผู้ชมได้อย่างลึกซึ้ง นำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจที่รอบคอบและประสบความสำเร็จในระยะยาว
จากข้อมูลและแนวโน้มที่ได้กล่าวมาทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าอุตสาหกรรมสื่อไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคและเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ภูมิทัศน์ของสื่อมีความซับซ้อนและท้าทายมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ยังมีโอกาสใหม่ๆ รออยู่สำหรับผู้ที่สามารถปรับตัวและนำนวัตกรรมมาใช้ได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่โดนใจผู้ชม การใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มดิจิทัล หรือการวัดผลที่มีประสิทธิภาพ ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัลนี้
สื่อไทยจะไม่หยุดนิ่ง และเราก็ไม่ควรหยุดนิ่งเช่นกัน การเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และปรับตัวให้ทันกับกระแสโลก จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราสามารถเติบโตและก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคงในอุตสาหกรรมสื่อที่ "นวัตกรรมไม่มีวันหยุดนิ่ง" นี้