แม้ภาพรวมของระบบการศึกษาไทยจะเผชิญกับความผันผวนจากจำนวนนักเรียนที่ลดลง แต่ตลาดโรงเรียนเอกชนกลับเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงเรียนนานาชาติที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก สวนกระแสความท้าทายทางเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรง บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงปัจจัยขับเคลื่อนและความท้าทายของธุรกิจโรงเรียนเอกชนในประเทศไทย พร้อมวิเคราะห์โอกาสและแนวโน้มการเติบโตในอนาคต เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมของตลาดและสามารถตัดสินใจลงทุนหรือวางแผนธุรกิจได้อย่างชาญฉลาด
ธุรกิจโรงเรียนเอกชนในประเทศไทยประกอบด้วยโรงเรียนนานาชาติและโรงเรียนเอกชนหลักสูตรไทย โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลัก 2 ประการ ได้แก่ จำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้น จากการเติบโตของประชากรและความต้องการการศึกษาที่มีคุณภาพ และ ค่าเล่าเรียนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้นและความต้องการบริการการศึกษาที่มีมูลค่าเพิ่ม
โมเดลธุรกิจของโรงเรียนเอกชนสามารถสรุปได้ดังนี้
ภาพรวมจำนวนนักเรียนในระบบโรงเรียนของประเทศไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 คาดว่าจะลดลง 1.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สวนทางกับจำนวนนักเรียนในโรงเรียนนานาชาติที่กลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 10.2% สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างและโอกาสที่น่าสนใจในภาคธุรกิจการศึกษา
ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของโรงเรียนนานาชาติ
การเติบโตของโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยแสดงให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนในภาคการศึกษาที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง นอกจากนี้ ยังมีโอกาสในการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดหาบุคลากร การพัฒนาหลักสูตร และการให้บริการด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
ภาพรวมของระบบการศึกษาไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ โดยจำนวนนักเรียนในระบบโดยรวมลดลงอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าในปี 2567 จะลดลง 1.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสถานการณ์นี้ โรงเรียนนานาชาติกลับเติบโตอย่างโดดเด่นด้วยจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นถึง 10.2%
สาเหตุหลักที่ทำให้โรงเรียนไทยประสบภาวะนักเรียนลดลง
ปัจจัยหนุนการเติบโตของโรงเรียนนานาชาติ
แม้ว่าภาพรวมของระบบการศึกษาไทยจะชะลอตัว แต่ตลาดโรงเรียนนานาชาติกลับสวนกระแสเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี 2555-2567 อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีของจำนวนนักเรียนและจำนวนโรงเรียนนานาชาติในภูมิภาคต่างๆ นอกเขตกรุงเทพฯ สูงกว่าในกรุงเทพฯ อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีอัตราการเติบโตของจำนวนนักเรียนสูงกว่าถึง 4.3% และจำนวนโรงเรียนสูงกว่าถึง 6.3% ตามลำดับ
ปัจจัยหนุนการขยายตัวสู่ภูมิภาค
โอกาสทางธุรกิจของโรงเรียนนานาชาติ
แนวโน้มการเติบโตในต่างจังหวัดนี้ชี้ให้เห็นถึงโอกาสทองในการขยายธุรกิจโรงเรียนนานาชาติไปสู่ตลาดใหม่ๆ นอกเหนือจากกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในภาคกลางและภาคตะวันออก ซึ่งมีจำนวนครัวเรือนที่มีรายได้เกิน 100,000 บาทต่อเดือนสูงถึง 113,082 ครัวเรือน เป็นรองเพียงแค่กรุงเทพฯและปริมณฑลเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการควรตระหนักถึงความแตกต่างของกำลังซื้อในแต่ละพื้นที่ และพิจารณาปรับกลยุทธ์ด้านราคา เช่น การกำหนดค่าเล่าเรียนที่เหมาะสม เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
คาดว่าในปี 2567 มูลค่าตลาดโรงเรียนนานาชาติไทยจะเติบโตราวร้อยละ 13 จากปี 2566 แตะ 8.7 หมื่นล้านบาท การเติบโตของมูลค่าตลาดโรงเรียนนานาชาติในปี 2567 มาจากแรงหนุนของความนิยมที่เพิ่มขึ้นในหลักสูตรนานาชาติและการขยายสู่ตลาดใหม่ๆ ส่งผลให้จำนวนนักเรียนขยายตัวสูงถึง 10.2% จากปีก่อนหน้าอีกทั้งยังได้รับแรงหนุนจากการปรับค่าเล่าเรียนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.8% จากปีการศึกษา 2566 จากข้อมูลในภาพจะเห็นได้ว่า มูลค่าตลาดโรงเรียนนานาชาติมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 โดยในปี 2567 คาดว่าจะมีมูลค่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากการปรับขึ้นค่าเล่าเรียน แต่แนวโน้มการเติบโตในระยะยาวยังคงแข็งแกร่งจากความต้องการของตลาดที่ยังมีอยู่สูง
ภาพรวมตลาดโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าในปี 2567 มูลค่าตลาดจะขยายตัวสูงถึง 13% จากปีก่อนหน้า ทำให้มีมูลค่ารวมกว่า 8.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากปี 2566 ที่มีมูลค่าตลาด 7.7 หมื่นล้านบาท สำหรับปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจากความต้องการเรียนหลักสูตรนานาชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการขยายตัวของโรงเรียนนานาชาติไปยังตลาดใหม่ๆ ส่งผลให้จำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นถึง 10.2% นอกจากนี้ การปรับขึ้นค่าเล่าเรียนเฉลี่ย 3.8% ในปีการศึกษา 2567 ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้มูลค่าตลาดขยายตัว
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของตลาดโรงเรียนนานาชาติก็มาพร้อมกับความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับขึ้นค่าเล่าเรียนที่อาจทำให้ผู้ปกครองบางส่วนพิจารณาส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อในต่างประเทศแทน เนื่องจาก ค่าเล่าเรียนเฉลี่ยต่อปีของโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยสูงถึง 764,484 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าเล่าเรียนเฉลี่ยของโรงเรียนประจำในนิวซีแลนด์ที่ 1,150,208 บาทเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่โรงเรียนนานาชาติในไทยกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
โรงเรียนเอกชนไทยที่พัฒนาคุณภาพขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่ามาก กำลังกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญของโรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนเหล่านี้มีจุดแข็งที่หลักสูตรภาษาอังกฤษเข้มข้น หรือแม้กระทั่งโปรแกรมสองภาษาหรือสามภาษา เช่น ไทย-อังกฤษ-จีน ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้ปกครองที่ต้องการให้บุตรหลานมีความสามารถทางภาษาที่หลากหลาย ในขณะที่ค่าใช้จ่ายนั้นต่ำกว่าโรงเรียนนานาชาติอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้การพัฒนาการทางเทคโนโลยีทำให้การเรียนโฮมสคูลเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้นสำหรับผู้ปกครองหลายคน การเรียนโฮมสคูลมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าโรงเรียนนานาชาติมาก ตัวอย่างเช่น ค่าใช้จ่ายในการสอบ GED (เทียบเท่าวุฒิมัธยมปลายของสหรัฐฯ) รวมกับค่าเรียนพิเศษแบบตัวต่อตัว 100 ชั่วโมง อยู่ที่ประมาณ 160,800 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าค่าเทอมโรงเรียนนานาชาติหลายเท่าตัว
ธุรกิจโรงเรียนเอกชนในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่น่าจับตามอง แม้ตลาดโรงเรียนนานาชาติจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรงและค่าเล่าเรียนที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกัน โรงเรียนเอกชนไทยก็ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับจำนวนนักเรียนที่ลดลงและความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ปกครอง
ผู้ประกอบการและนักลงทุนในธุรกิจโรงเรียนเอกชนจำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับปัจจัยขับเคลื่อนและความท้าทายเหล่านี้ เพื่อที่จะสามารถวางกลยุทธ์และตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างเหมาะสม การสร้างความแตกต่าง พัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และตอบสนองความต้องการของตลาดจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในอนาคต
แม้เส้นทางข้างหน้าอาจเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่โอกาสในการเติบโตและสร้างผลกำไรในธุรกิจโรงเรียนเอกชนไทยยังคงมีอยู่มากมาย สำหรับผู้ที่พร้อมจะปรับตัวและคว้าโอกาสเหล่านี้ อนาคตของธุรกิจนี้ยังคงสดใสและเต็มไปด้วยศักยภาพ
ที่มา KResearch