ภาพของนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลกลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง สร้างความคึกคักให้กับภาคธุรกิจท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจโรงแรมที่ได้รับอานิสงส์โดยตรง แต่ท่ามกลางสัญญาณบวกของการฟื้นตัว ก็ยังมีคำถามสำคัญที่ต้องหาคำตอบ: ธุรกิจโรงแรมไทยกลับมาแข็งแกร่งดังเดิมแล้วหรือยัง? บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจสถานการณ์ปัจจุบันของธุรกิจโรงแรมไทย เจาะลึกตัวเลขการฟื้นตัว วิเคราะห์ความท้าทายที่ยังรออยู่ และนำเสนอกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อรับมือกับความผันผวนและเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยแสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศกว่า 17.5 ล้านคนในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ซึ่งคิดเป็น 88% ของระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยสูงถึง 136.2 ล้านคน ซึ่งเกินกว่าระดับก่อนโควิด-19 ถึง 21%
การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวส่งผลบวกโดยตรงต่อธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ธุรกิจโรงแรมไม่เพียงแต่สร้างงานและรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น แต่ยังมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมผ่านการใช้จ่ายในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้ง และกิจกรรมนันทนาการต่างๆ และในบทความนี้ เราจะพิจารณาว่ารายได้ของธุรกิจโรงแรมได้กลับคืนสู่ระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้วหรือไม่ และวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า เราจะมาเจาะลึกสถานการณ์ปัจจุบันของธุรกิจโรงแรม พร้อมทั้งประเมินโอกาสและอุปสรรคที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ เพื่อให้สามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 จะยังไม่กลับมาเต็มที่ โดยฟื้นตัวได้เพียง 88% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2562 แต่ธุรกิจโรงแรมกลับแสดงสัญญาณบวกที่น่าสนใจ อัตราการเข้าพัก (OR) ปรับตัวดีขึ้นในทุกภูมิภาค โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 72.6% และที่น่าจับตามองกว่านั้นคือ ราคาห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (ADR) เพิ่มขึ้นถึง 9% จากช่วงก่อนโควิด เป็น 1,920 บาทต่อห้อง สอดคล้องกับผลสำรวจของ ททท. ที่ชี้ให้เห็นว่านักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มใช้จ่ายกับค่าที่พักมากขึ้น โดยในปี 2566 ค่าใช้จ่ายด้านที่พักมีสัดส่วนสูงที่สุดถึง 35.9% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด และเพิ่มขึ้น 15.2% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด
ภาคใต้เป็นภูมิภาคที่โดดเด่นด้วยการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง ทั้งในด้าน OR และ ADR โดยเป็นภูมิภาคเดียวที่ OR กลับมาสูงกว่าช่วงก่อนโควิดแล้ว ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ADR ของโรงแรมในภาคใต้อยู่ที่ 2,486 บาทต่อห้อง สูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมเกือบ 30% ซึ่งเป็นผลมาจากสัดส่วนโรงแรมและรีสอร์ตระดับ Upscale และ Luxury ที่มีจำนวนมากในภาคใต้
ข้อมูลเหล่านี้สอดคล้องกับเทรนด์การท่องเที่ยวหลังโควิดที่นักท่องเที่ยวนิยมเลือกพักโรงแรมระดับ 4-5 ดาวมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากยุโรปที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ OR ของภาคใต้มีแนวโน้มเติบโตได้ดี เนื่องจากนักท่องเที่ยวยุโรปมีระยะเวลาพำนักเฉลี่ยในไทยนานกว่า 16 วัน ซึ่งมากกว่านักท่องเที่ยวจีนที่เคยเป็นตลาดหลักของภาคใต้ในปี 2562 ถึง 2 เท่าตัว
Krungthai COMPASS คาดการณ์ว่าอัตราการเข้าพักโดยรวม (OR) ในปี 2567 จะอยู่ที่ประมาณ 70.5% ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนโควิดเล็กน้อย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 71.9% ในปี 2568 ที่น่าสนใจคือ OR ที่สูงกว่าปี 2562 นี้เกิดขึ้นแม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 36.5 ล้านคน ซึ่งยังต่ำกว่า 39.9 ล้านคนในปี 2562 ปัจจัยสำคัญที่ผลักดัน OR ให้สูงขึ้นคือการเติบโตอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวชาวไทย โดยคาดว่าจะมีจำนวนถึง 271 ล้านคนในปี 2567 ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนโควิดถึง 19%
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเท่าเทียมกัน โรงแรมระดับ 4-5 ดาวมีแนวโน้มฟื้นตัวได้เร็วกว่าโรงแรมทั่วไป เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติในยุคหลังโควิดมีแนวโน้มใช้จ่ายกับค่าที่พักสูงขึ้น และนิยมพักในโรงแรมหรู ในขณะที่โรงแรมระดับ 3 ดาวลงไปยังคงเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรงเนื่องจากจำนวนห้องพักที่ล้นตลาด ประกอบกับกลุ่มลูกค้าหลักอย่าง Backpacker และกรุ๊ปทัวร์ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้ การเติบโตของแพลตฟอร์มที่พักทางเลือกอย่าง Air BnB ก็เป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มความกดดันให้กับโรงแรมระดับล่าง
Krungthai COMPASS คาดการณ์ว่ารายได้ของธุรกิจโรงแรมในปี 2567 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีมูลค่ารวมประมาณ 9 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นการฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ปี 2562) โดยมีอัตราการเติบโต 13.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 รายได้ของธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 4.7 แสนล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 20.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 และคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ รายได้จะอยู่ที่ 4.3 แสนล้านบาท ส่งผลให้รายได้รวมทั้งปี 2567 แตะ 9 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 แสนล้านบาท และจากนักท่องเที่ยวไทย 4 แสนล้านบาท
สำหรับปี 2568 Krungthai COMPASS คาดการณ์ว่าธุรกิจโรงแรมจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมกว่า 9.6 แสนล้านบาท ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนโควิดประมาณ 8% ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับปี 2562 ที่ 40 ล้านคน ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวไทยที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนของนักท่องเที่ยวไทยก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 3,500 บาทในปี 2567 เป็น 3,800 บาทในปี 2568 ซึ่งจะช่วยหนุนรายได้ของธุรกิจโรงแรมให้เติบโตต่อไป
ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ทำให้ธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยยังคงดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจาก บจ. คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่าในช่วง 10 ปีก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ปี 2552-2561) มูลค่าการซื้อขายโรงแรมในประเทศไทยสูงถึง 1.2 แสนล้านบาท โดยเฉพาะในปี 2560-2561 ที่มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยสูงถึง 2 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นช่วงที่ภาคการท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด
การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้ตลาดการซื้อขายโรงแรมในประเทศไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 มูลค่าการซื้อขายโรงแรมรวมอยู่ที่ 5,671 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่อยู่ในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ภูเก็ต กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และสมุย นอกจากนี้ ยังมีโรงแรมอีกจำนวนมากที่อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อขาย คาดว่ามูลค่าการซื้อขายโรงแรมตลอดปี 2567 จะสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2552-2561 ถึง 24%
นักลงทุนรายใหญ่ทั้งชาวไทยและต่างชาติยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนในธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย พัทยา และเชียงใหม่ โรงแรมที่ถูกซื้อส่วนใหญ่มักจะถูกนำไปปรับปรุงใหม่ (Renovate) เพื่อเตรียมเปิดให้บริการอีกครั้งในอนาคต สอดคล้องกับข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ระบุว่าในช่วงปี 2566-H1/2567 มีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI กว่า 17 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมเกือบ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19
การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศไทย แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ผู้ประกอบการโรงแรมไทยจึงมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ ในช่วงปี 2565 ถึงไตรมาสแรกของปี 2567 หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง มีการลงทุนโดยตรงจากไทยในภาคที่พักแรมและบริการด้านอาหารในต่างประเทศสูงถึง 5.3 หมื่นล้านบาท
ประเทศที่ได้รับเงินลงทุนสูงสุดคือ Mauritius ด้วยมูลค่า 2.4 หมื่นล้านบาท ตัวอย่างการลงทุนที่โดดเด่นคือการสร้างโรงแรมหรู Outrigger Mauritius Beach Resort โดยกลุ่ม S Hotels & Resorts รองลงมาคือ U.A.E. ที่มีเงินลงทุน 2.1 หมื่นล้านบาท โดยมีผู้ประกอบการไทยหลายรายเข้าไปลงทุนในตลาดนี้ เช่น Dusit Centel และกลุ่ม Minor
ด้วยแนวโน้มการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวทั่วโลก คาดว่าผู้ประกอบการโรงแรมไทยจะยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายในหลากหลายภูมิภาค เช่น ญี่ปุ่น มัลดีฟส์ ฟิลิปปินส์ ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจและวิสัยทัศน์ของผู้ประกอบการไทยในการคว้าโอกาสทางธุรกิจในระดับโลก
แม้ก่อนวิกฤตโควิด-19 จะเข้ามาซ้ำเติม ภาคธุรกิจโรงแรมไทยก็เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงอยู่แล้ว โดยข้อมูลในปี 2562 ชี้ว่ากว่า 50% ของผู้ประกอบการโรงแรมประสบปัญหาขาดทุนสุทธิ สาเหตุหลักมาจากจำนวนผู้เล่นในตลาดที่มากเกินไป สะท้อนจากดัชนี HHI Index ที่มีค่าเพียง 41 เท่านั้น โดยใน ปัจจุบัน สถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อจำนวนห้องพักในธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตทั่วประเทศพุ่งสูงถึง 6.9 แสนห้อง ณ กรกฎาคม 2567 ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนโควิดถึง 20.2% โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ และเพชรบุรี จำนวนห้องพักเพิ่มขึ้นมากถึง 26%-36% เมื่อเทียบกับปี 2562
การแข่งขันในกลุ่มโรงแรมระดับ 4-5 ดาวยิ่งน่าจับตา ด้วยโรงแรมใหม่กว่า 140 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นระดับ Upscale (ราคาห้องพักตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป) เตรียมเปิดตัวในปี 2567-2568 โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และภูเก็ต และเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค จะพบว่าธุรกิจโรงแรมไทยมีการแข่งขันสูงมาก ข้อมูลจาก The Travel & Tourism Development Index 2024 ระบุว่า ไทยมีจำนวนห้องพักต่อประชากรมากกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนถึง 52% สูงสุดเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน และอันดับ 3 ในเอเชียแปซิฟิก เป็นรองเพียงญี่ปุ่นและสิงคโปร์เท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เพิ่มความกดดันให้กับผู้ประกอบการ เช่น การเติบโตของแพลตฟอร์มที่พักแบบ Home Sharing อย่าง Air BnB และประเด็นการแก้กฎหมายให้ชาวต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมได้มากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การปล่อยเช่าคอนโดรายวันแข่งกับโรงแรม และท้ายที่สุดอาจจุดชนวนสงครามราคาในธุรกิจโรงแรมให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
นักท่องเที่ยวจีนถือเป็นกลุ่มลูกค้าสำคัญของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย โดยในปี 2562 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยถึง 11.1 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด อย่างไรก็ตาม Krungthai COMPASS คาดการณ์ว่าในปี 2567-2568 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 7.5 และ 9.7 ล้านคนตามลำดับ ซึ่งฟื้นตัวเพียง 68% และ 87% เมื่อเทียบกับปี 2562 สาเหตุหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว และต้นทุนการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับนโยบายรัฐบาลจีนที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ทำให้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปต่างประเทศในปี 2567 จะอยู่ที่ประมาณ 130 ล้านคน หรือฟื้นตัวเพียง 84% ของปี 2562
ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเดินทางด้วยตนเอง (F.I.T) คิดเป็น 77% ซึ่งสูงกว่าปี 2562 เกือบเท่าตัว ขณะที่กลุ่มทัวร์ซึ่งเคยเป็นลูกค้าหลักของโรงแรมระดับกลาง-ล่าง กลับลดลงอย่างมาก ส่งผลให้โรงแรมเหล่านี้ฟื้นตัวได้ช้ากว่าโรงแรมระดับบนที่รองรับกลุ่ม F.I.T ซึ่งมีแนวโน้มใช้จ่ายด้านที่พักสูงกว่า โดยในปี 2566 นักท่องเที่ยวจีนใช้จ่ายด้านที่พักเฉลี่ย 22,663 บาทต่อคน เพิ่มขึ้นถึง 91% จากช่วงก่อนโควิด นอกจากนี้ การแข่งขันจากประเทศอื่นๆ ที่เสนอวีซ่าฟรีแก่นักท่องเที่ยวจีนกว่า 40 ประเทศ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ท้าทายการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมไทยในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า
นอกจากความท้าทายจากการแข่งขันและนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่แล้ว ธุรกิจโรงแรมยังต้องเผชิญกับต้นทุนดำเนินงานที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าแรงซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 30% ของต้นทุนทั้งหมด การที่ภาครัฐมีนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ยิ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมอย่างมาก เนื่องจาก 71% ของผู้ประกอบการโรงแรมจ่ายค่าแรงต่ำกว่า 400 บาทต่อวันในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต ยิ่งซ้ำเติมภาระต้นทุนของผู้ประกอบการโรงแรม ในขณะที่การแข่งขันที่รุนแรงทำให้การปรับขึ้นราคาห้องพักเพื่อส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภคเป็นไปได้ยาก ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจโรงแรมถูกกดดันอย่างหนักในอีก 1-2 ปีข้างหน้า แม้ว่ารายได้โดยรวมจะมีแนวโน้มเติบโตตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวก็ตาม
เพื่อให้ธุรกิจโรงแรมสามารถเติบโตและแข่งขันได้ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย ผู้ประกอบการควรพิจารณากลยุทธ์ต่อไปนี้:
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังควรติดตามสถานการณ์ตลาดและปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสในการเติบโตในอนาคตได้อย่างมั่นคง
ภาคการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องส่งผลให้อัตราการเข้าพักและราคาห้องพักของธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 Krungthai COMPASS คาดการณ์ว่ารายได้ของธุรกิจโรงแรมในปี 2567 และ 2568 จะสูงถึง 9 แสนล้านบาท และ 9.6 แสนล้านบาทตามลำดับ ซึ่งแสดงถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 36.5 ล้านคนในปี 2567 และ 40 ล้านคนในปี 2568 รวมถึงราคาห้องพักที่ปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโรงแรมยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ได้แก่ การแข่งขันที่รุนแรง การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่เต็มที่ และต้นทุนดำเนินงานที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร โดยเฉพาะโรงแรมระดับกลาง-ล่าง และเพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ผู้ประกอบการโรงแรมควรปรับตัวโดย
แม้จะมีอุปสรรค แต่ธุรกิจโรงแรมไทยยังคงมีศักยภาพในการเติบโตและกำลังก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูสู่ยุคใหม่ของการแข่งขันและการเติบโต แม้เส้นทางข้างหน้าจะมีอุปสรรค แต่ด้วยการปรับตัว นวัตกรรม และความเข้าใจในตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป เชื่อว่าผู้ประกอบการไทยจะสามารถนำพาธุรกิจโรงแรมให้ก้าวผ่านความท้าทาย และสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืนได้อย่างแน่นอน