ในยุคที่เศรษฐกิจซบเซาลงเพราะโควิด หลายๆ ประเทศต่างออกวีซ่าเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติเข้าไปจับจ่ายใช้สอยในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้ฟื้นขึ้นมาได้
โดยบางประเทศก็เน้นดึงดูดเงินชั่วคราวเช่นเงินจากนักท่องเที่ยว แต่บางประเทศก็ไปไกลกว่านั้นด้วยการดึงดูดให้คนมาอาศัย ทำงาน และใช้จ่ายหมุนเวียนในประเทศเลย อย่างสิงคโปร์ที่เพิ่งออกวีซ่าใหม่ OnePass และ Tech.Pass เพื่อดึงหัวกะทิทุกด้าน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีเข้าไปช่วยทำงานพัฒนาประเทศ
แต่นอกจากวีซ่าดึง ‘คนเก่ง’ เข้าไปทำงานแล้ว ก็มีวีซ่าอีกประเภทหนึ่งที่บางประเทศออกมาเพื่อดึงให้ ‘คนรวย’ เข้าไป ‘ลงเงิน’ แลกวีซ่าอยู่อาศัยและทำงานระยะยาว หรือแม้แต่ ‘วีซ่าผู้พำนักถาวร’ (permanent resident visa) โดยเฉพาะ
วีซ่าประเภทนี้มีชื่อเรียกทางการแบบรวมๆ ว่า ‘immigrant investor visa’ หรือ ‘วีซ่านักลงทุน’ หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อเล่น ‘golden visa’ หรือ ‘วีซ่าทอง’ ที่แต่ละประเทศเรียกเก็บ ‘เงินลงทุนแรกเข้า’ แพงจนคนขออาจต้องขายทองขายบ้านไปขอสมชื่อ
โดยล่าสุดเมืองไทยเองก็เพิ่งเปิดให้ชาวต่างชาติเงินหนาเข้ามาขอ ‘วีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว (Long-term resident visa)’ ที่ให้ผู้ถือพำนักและทำงานในไทยได้ 10 ปี พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้จากต่างประเทศ เพียงมีเงื่อนไขไม่มาก แค่ต้องเอาเงินอย่างน้อย 500,000 เหรียญสหรัฐหรือราว 18.3 ล้านบาทมาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ธุรกิจภายในประเทศ หรืออสังหาริมทรัพย์ไทย และต้องมีสินทรัพย์ในครอบครองอย่างน้อย 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 36.7 ล้านบาท
ในบทความนี้ทีมข่าว Spotlight จึงอยากชวนทุกคนไปทำความรู้จักวีซ่าทองที่คนรวยๆ ใช้เปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนสัญชาติ หรือแม้แต่ขอสัญชาติใหม่ รวมไปถึงส่องตัวอย่างเงื่อนไขวีซ่าทองของ 3 ประเทศอาเซียนคือ ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ กันว่าแต่ละประเทศมีเกณฑ์หรือกลเม็ดในการดึงเศรษฐีเข้าไปอยู่ในประเทศอย่างไร เปรียบเทียบกันแล้วมีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไรบ้าง
‘วีซ่าทอง’ วิถีเปลี่ยนประเทศแบบคนมีเงิน
‘วีซ่าทอง’ หรือ ‘วีซ่านักลงทุน’ ไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นสิ่งที่หลายประเทศทั่วทุกมุมโลกออกมาเพื่อดึงดูดเงินทุนต่างชาติมากระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศมาตั้งแต่ช่วง 1980s แล้ว
และที่น่าสังเกตก็คือประเทศที่มีวีซ่าประเภทนี้มักจะเป็นประเทศที่เศรษฐกิจ ‘พัฒนาแล้ว’ และมีโครงสร้างอำนวยความสะดวกรองรับไลฟ์สไตล์แบบ ‘หรูหรา’ ได้ระดับหนึ่งแล้ว เพราะจุดขายของวีซ่าประเภทนี้คือ ‘สิทธิในการพักอาศัย’ หรือแม้แต่ ‘สัญชาติ’ และถ้าสภาพบ้านเมืองของประเทศนั้นๆ ไม่พร้อม หรือไม่มีอะไรดึงดูดกลุ่มคนรายได้สูงได้เลย ถึงออกวีซ่าประเภทนี้มาก็คงไม่มีใครไปขอ
สำนักข่าว เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ (SCMP) รายงานว่าปัจจุบันมีประเทศทั่วโลกกว่า 40 ประเทศแล้วที่เปิดให้ชาวต่างชาติขอวีซ่านักลงทุน โดย 5 ประเทศแรกที่มีผู้มีรายได้สูงกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐย้ายเข้าไปพำนักอยู่ด้วยวีซ่าทองในจำนวนมากที่สุดในปี 2022 ก็คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ อิสราเอล และสหรัฐอเมริกา โดยส่วนมากจะย้ายมาจากประเทศจีน และยูเครนที่กำลังประสบปัญหาความไม่สงบอยู่ในปัจจุบัน
จากการคาดการณ์ของ Henley & Partners เฟิร์มกฎหมายทีเชียวชาญด้านการย้ายถิ่นด้วยการลงทุนจากอังกฤษ ในปี 2022 จะมีเศรษฐีทั่วโลกกว่า 88,000 คน ย้ายถิ่นฐาน หรือขอวีซ่าพำนักระยะยาวในประเทศอื่นผ่านการลงทุน
โดยในนั้นจะมีถึง 4,000 คนที่เลือกเข้าไปในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่กำลังกลายเป็น ‘millionaire magnet’ ดาวรุ่ง เพราะเพิ่งปรับลดเกณฑ์เงินลงทุนขั้นต่ำจาก 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐไป 545,000 เหรียญสหรัฐ พร้อมยืดระยะเวลาอยู่อาศัยจาก 5 เป็น 10 ปี ในปีนี้
โดยถึงแม้เทรนด์การย้ายถิ่นฐานของมหาเศรษฐีจะสะดุดไปบ้างในช่วงปี 2020-2021 ที่จำนวนผู้เดินทางย้ายประเทศด้วยวีซ่านักลงทุนลดลงกว่า 89% จาก 110,000 คนในปี 2019 ไป 12,000 คนในปี 2020 เพราะโควิดทำให้การย้ายที่อยู่และเดินทางข้ามประเทศเป็นเรื่องลำบาก Henley & Partners คาดการณ์ว่าตัวเลขนี้จะพุ่งกลับไปหลักแสนอีกครั้งในปี 2023 เพราะความความสะดวกในการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีเศรษฐีที่เห็นความสำคัญของการมีวีซ่าพำนักระยะยาวในประเทศอื่น หรือ ‘พาสปอร์ตเล่มที่สอง’ มากยิ่งขึ้น เพราะการมีที่อยู่สำรองนอกจากจะช่วยกระจายความเสี่ยงแล้ว ยังเพิ่มความคล่องตัวในการ ‘ลี้ภัย’ ออกจากประเทศตัวเองหากเกิดเหตุจำเป็น โดยเฉพาะเศรษฐีประเทศจีนที่เจอผลกระทบด้วยตัวเองมาแล้วจากนโยบายล็อคดาวน์ Zero-Covid ที่ทำให้ออกไปไหนไม่ได้มาเป็นเดือนๆ
เทียบวีซ่านักลงทุน 3 ประเทศอาเซียน ที่ไหนเป็นอย่างไรบ้าง
ในปัจจุบัน มีเพียง 3 ประเทศในอาเซียนเท่านั้นคือ ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ที่มีวีซ่านักลงทุนเพื่อดึงตัวเศรษฐีเข้ามาพำนักอาศัย และใช้เงินในประเทศ โดยแต่ละที่ก็มีเกณฑ์เงินลงทุนขั้นต่ำ หรือมีกฎยิบย่อยที่ทำให้แต่ละประเทศมีข้อได้เปรียบต่างกันไป ซึ่งทีมข่าว Spotlight สรุปมาให้อ่านเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
ไทย
ชื่อ: วีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว (Long-term resident visa)
ต้องมีคุณสมบัติยังไง?
ได้อะไรบ้าง?
มาเลเซีย
ชื่อ: Malaysia My Second Home (MM2H) Program
ต้องมีคุณสมบัติยังไง?
ได้อะไรบ้าง?
สิงคโปร์
ชื่อ: Singapore Global Investor Program
ต้องมีคุณสมบัติยังไง?
ได้อะไรบ้าง?
โดยผู้ที่ถือวีซ่านี้จะสามารถท่องเที่ยว ทำงาน และพำนักอยู่ในสิงคโปร์ได้ไม่จำกัดระยะเวลา นอกจากนี้ยังสามารถขอวีซ่าระยะยาวให้พ่อแม่ ส่งบุตรเข้าเรียนในโรงเรียนสิงคโปร์ และขอสัญชาติสิงคโปร์ได้หลังถือวีซ่านี้มาแล้ว 2 ปี
จากข้อมูลด้านบนจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ทุกประเทศจะมีจุดร่วมคือ ‘เกณฑ์เงินลงทุนขั้นต่ำ’ และให้สิทธิพำนักอาศัยระยะยาวในประเทศเหมือนกัน แต่ละประเทศก็มีรายละเอียดแตกต่างที่ทำให้มีข้อดีต่างกันไป
โดยสำหรับ 'ประเทศไทย' ข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ‘เกณฑ์เงินลงทุนที่ต่ำ’ ‘สิทธิพิเศษที่สูง’ และ ‘กฎที่เรียบง่าย’ ถ้าเทียบกับประเทศอื่นที่มีกฎเรื่องอายุและประวัติการทำงานเข้ามาด้วย
นอกจากนี้เรายังมีสถานที่ท่องเที่ยว และอาหารที่เป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก ทำให้เราเป็นสถานที่ที่ให้ทั้งความสะดวกทางกฎหมาย และความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมที่น่าจะทำให้ไทยดึงดูดชาวต่างชาติเงินหนาเข้ามาในประเทศได้มากถึงแม้จะเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน
ในขณะเดียวกันทางด้าน ‘สิงคโปร์’ ที่ถึงแม้กฎจะ ‘โหดหิน’ ทุกข้อจนดูตัวเกณฑ์แล้วน่าจะไล่มากกว่าดึงคนเข้ามาได้ ก็มีข้อได้เปรียบสำคัญคือเป็นที่เดียวที่ให้สิทธิผู้ถือวีซ่า ‘ขอสัญชาติ’ ได้
ซึ่งสิทธินี้นอกจากจะทำให้ผู้ถือวีซ่ามีโอกาสได้เป็นประชากรของประเทศที่มีคุณภาพชีวิตสูงที่สุดที่หนึ่งของโลกแล้ว ยังทำให้มีโอกาสถือ ’พาสปอร์ตสิงคโปร์’ ที่พาผู้ถือเข้า 192 ประเทศทั่วโลกโดยไม่ต้องขอวีซ่า จนได้ชื่อว่าเป็นพาสปอร์ตที่ ‘ทรงพลัง’ ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกคู่กับพาสปอร์ตของประเทศเกาหลีใต้อีกด้วย
ซึ่งเมื่อมองแบบนี้ ถึงแม้ในมุมหนึ่งการให้วีซ่านักลงทุนจะเป็นเหมือนการเปิดให้ชาวต่างชาติเข้ามากินอยู่หรือใช้ทรัพยากรในประเทศ แท้จริงแล้ววีซ่าประเภทนี้ก็เป็นเครื่องชี้วัดตัวหนึ่งว่าประเทศนั้นมีเศรษฐกิจที่ดี และระดับคุณภาพชีวิตที่สูงพอที่จะทำให้คนรวยเกิดความรู้สึกว่าอยากไปอาศัยอยู่ในประเทศนั้นๆ
อีกทั้งยังเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้รัฐบาลเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนในประเทศได้เร็วที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังผ่านวิกฤติมาอีกด้วย
ที่มา: SCMP, VisualCapitalist, Henley & Partners