ภายหลังการรายงานตัวเลขฐานะเงินคงคลังของรัฐบาล ณ สิ้นเดือนมกราคม 2568 อยู่ที่ระดับ 245,494 ล้านบาท ซึ่งลดต่ำลงจากปกติที่อยู่ในระดับ 400,000 - 500,000 ล้านบาทนั้น
ล่าสุด (8 มี.ค. 68) นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง ออกมาเปิดเผยว่าฐานะเงินคงคลังดังกล่าวเป็นระดับที่เพียงพอต่อการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการ ทั้งนี้ ภาครัฐควรเร่งเบิกจ่ายให้ได้ตามเป้าหมายที่กรมบัญชีกลางวางไว้ เพื่อเป็นการฉีดเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจ
นางแพตริเซียชี้แจงว่า ปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล ซึ่งต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านรายได้ รายจ่าย และเงินกู้ โดยการบริหารเงินคงคลังดำเนินการภายใต้คณะทำงานมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และกรมบัญชีกลาง ซึ่งจะทำการติดตามความเคลื่อนไหวของเงินคงคลังให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และเพียงพอต่อการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการในแต่ละเดือน
กล่าวคือ เงินคงคลังจะต้องมีจำนวนไม่น้อยเกินไปจนเป็นปัญหาต่อการเบิกจ่ายเงินตามปกติของส่วนราชการ และต้องไม่มากเกินไปจนเกิดความสูญเปล่า เนื่องจากรัฐบาลยังมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะที่รัฐบาลกู้เงิน ซึ่งระดับเงินคงคลังที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับความต้องการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น จึงได้บริหารเงินคงคลังให้คงเหลือ ณ สิ้นเดือนมกราคม 2568 จำนวน 245,494 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่เพียงพอต่อการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการในช่วงเวลาดังกล่าว
“กรมบัญชีกลางมีการดูปริมาณเงินคงคลังอย่างใกล้ชิดให้เพียงพอต่อความต้องการการใช้เงินของส่วนราชการ เพราะกรมบัญชีกลางกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการเป็นรายเดือน โดยได้มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่ง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีการเบิกจ่ายเงินที่กันเหลื่อมปีมาจากปีงบประมาณ 2567 ไปแล้วประมาณ 53% และมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 2568 ไปแล้วกว่า 45% ซึ่งต้องขอเน้นย้ำให้ส่วนราชการเร่งรัดการเบิกจ่ายให้ได้ตามเป้าหมายที่กรมบัญชีกลางวางไว้ เพื่อเป็นการฉีดเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจ” อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว