รายงานความมั่งคั่งทั่วโลกประจำปี 2567 : UBS Global Wealth โดยธนาคารยูบีเอส ระบุว่า จำนวนมหาเศรษฐีทั่วโลก ที่มีทรัพย์สินเกิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1,800 ล้านบาท มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 5 ปี ข้างหน้า
โดยแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นนี้เกิดขึ้นกับทุกประเทศ ที่มีขนาดเล็ก และเขตเศรษฐกิจใหม่ มีอัตราการเติบโตสูงเกือบทุกภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศแถบทวีปเอเชีย ซึ่งติดอันดับถึง 5 ประเทศด้วยกัน ได้แก่ ไต้หวัน อินโดนิเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ยกเว้นสหราชอาณาจักรที่มหาเศรษฐีอาจมีจำนวนลดลง ในอีก 5 ปีข้างหน้า
( ซึ่งเป็นการคาดการณ์ในช่วงปี 2566-2571)
จากมหาเศรษฐี 788,799 คน เป็น 1,158,239 คน
จากมหาเศรษฐี 60,787คน เป็น 87,077 คน
จากมหาเศรษฐี 44,307 คน เป็น 60,874 คน
จากมหาเศรษฐี 178,605 คน เป็น 235,136 คน
จากมหาเศรษฐี 2,827,956 คน เป็น 3,625,208 คน
จากมหาเศรษฐี 1,295,674 คน เป็น 1,643,799 คน
จากมหาเศรษฐี 179,905 คน เป็น 226,226 คน
จากมหาเศรษฐี 331,538 คน เป็น 411,652 คน
จากมหาเศรษฐี 100,001 คน เป็น 123,531 คน
จากมหาเศรษฐี 575,426 เป็น 703,216 คน
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยจำนวนเศรษฐี (ผู้มีเงินสด 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 36 ล้านบาท) ขึ้นไป พบว่า สหรัฐฯ ยังครอง 1 จำนวนเศรษฐีมากที่สุดในโลก ซึ่งมีจำนวนกว่า 22 ล้านคน ตามมาด้วยจีน มีจำนวนเศรษฐี 6 ล้านคน และ สหราชอาณาจักร กว่า 3 ล้านคน
ทั้งนี้ หากคิดเป็นสัดส่วนแล่ว พบว่า ฝั่งสหรัฐฯ มีเศรษฐี 38%, ยุโรปตะวันตกมีเศรษฐี 28% และจีนมีเศรษฐี 10% ซึ่งเทียบเท่ากับจำนวนเศรษฐีในประเทศญี่ปุ่น อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และไทยรวมกัน
อย่างไรก็ตาม ในรายงานได้มีการประเมินความมั่งคั่งของมหาเศรษฐี ผ่านการวัดจาก มูลค่าทรัพย์สินปะเภทต่างๆ เช่น การถือครองเงินสด และ การถือครองอสังหาริมทรัพย์ และหักด้วยหนี้สินส่วนตัว