ใครว่าประเทศที่รวยที่สุดในโลกต้องมีขนาดใหญ่? บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาคุณไปพบกับ 10 ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แม้หลายประเทศจะมีขนาดเล็กจิ๋ว แต่ความมั่งคั่งของพวกเขากลับยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ! แม้จะเผชิญกับวิกฤตโรคระบาด เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของพวกเขาก็แทบไม่สั่นคลอน
มาดูกันว่า 10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลกในปี 2024 มีประเทศใดบ้าง และอะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของพวกเขา? หมายเหตุ การจัดอันดับนี้พิจารณาจากกำลังซื้อต่อหัวต่อปี (PPP) ซึ่งสะท้อนถึงค่าครองชีพที่แท้จริงของประชากรในแต่ละประเทศ
10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก บางประเทศเล็ก..แต่ทำไมรวยไม่เบา
รู้หรือไม่หลายประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกนั้น กลับมีขนาดเล็กจิ๋วอย่างไม่น่าเชื่อ! แม้จะเผชิญกับวิกฤตการณ์ใหญ่ๆ อย่างโรคระบาด เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และความผันผวนทางการเมือง แต่ความมั่งคั่งมหาศาลของพวกเขาก็แทบจะไม่สะเทือนเลยทีเดียว และต่อไปนี้คือการจัดอันดับจากเว็บไซต์ Global Finance ว่า 10 ประเทศที่รวยที่สุดในโลก โดยเราจะเริ่มจากประเทศที่รวยที่สุดอันดับที่ 10 และไปจนถึงประเทศที่รวยที่สุดอันดับ 1 ของโลกในปี 2024 มีประเทศใดบ้าง
อันดับที่ 10 ประเทศ นอร์เวย์ (Norway)
กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 82,832 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 2,695,000 บาทต่อปี และราว 224,583 บาทต่อเดือน
- นับตั้งแต่การค้นพบแหล่งน้ำมันนอกชายฝั่งครั้งใหญ่ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 น้ำมันได้กลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจนอร์เวย์ ในฐานะผู้ผลิตปิโตรเลียมชั้นนำของยุโรปตะวันตก ประเทศนี้ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นมาเป็นระยะเวลานาน แต่แล้วสถานการณ์ก็พลิกผัน เมื่อราคาน้ำมันดิ่งเหวในช่วงต้นปี 2020 ตามมาด้วยการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ส่งผลให้ค่าเงินโครนนอร์เวย์ร่วงลงอย่างหนัก ในไตรมาสที่สองของปีนั้น GDP ของนอร์เวย์ลดลงถึง 6.3% ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษ หรืออาจจะนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง
- อย่างไรก็ดี สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้บ่งชี้ว่าความมั่งคั่งของชาวนอร์เวย์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากผ่านพ้นช่วงวิกฤต เศรษฐกิจก็ค่อยๆ ฟื้นตัวและกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง นอกจากนี้ ในกรณีที่เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจที่ไม่คาดคิด ชาวนอร์เวย์ยังมีกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติมูลค่ากว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 47.6 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นหลักประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเลข GDP ต่อหัวที่สูงของนอร์เวย์ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอยู่ที่ดีทางเศรษฐกิจของประชากรโดยเฉลี่ยได้อย่างน่าเชื่อถือ เนื่องจากประเทศนี้มีช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่แคบที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
อันดับที่ 9 ประเทศ สหรัฐอเมริกา (United States)
กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 85,373 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 2,902,681.48 บาทต่อปี และราว 241,890 บาทต่อเดือน
- เราเคยกล่าวไว้หรือไม่ว่าประเทศที่ร่ำรวยที่สุดมักจะเป็นประเทศขนาดเล็ก? กรณีของสหรัฐอเมริกาพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่เป็นเช่นนั้น โดยสหรัฐอเมริกาเพิ่งเข้าสู่ 10 อันดับแรกในปี 2020 หลังจากที่อยู่ในอันดับใกล้เคียงมาเกือบสองทศวรรษ การทะยานขึ้นมาของสหรัฐฯ ในช่วงแรก ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากมาตรการทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกี่ยวข้องกับการระบาดใหญ่ ซึ่งช่วยกระตุ้นรายได้และการใช้จ่าย และจากราคาพลังงานที่ลดลง ซึ่งทำให้เศรษฐกิจที่อิงกับปิโตรเลียมอย่างกาตาร์ นอร์เวย์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตกลงมาหลายอันดับ ขณะที่บรูไนหลุดออกจาก 10 อันดับแรกไปเลย
- อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาสามารถรักษาโมเมนตัมและคงสถานะอยู่ในกลุ่มประเทศชั้นนำได้ ไม่เพียงแต่สหรัฐฯ จะฟื้นตัวจากภาวะถดถอยที่สั้นที่สุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นปี 2020 ซึ่งกินเวลาเพียงสองเดือน แต่เศรษฐกิจของประเทศยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในเดือนเมษายน IMF ได้ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 2024 เป็น 2.7% (สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้าถึง 0.6%) และตามการประเมินของกองทุน IMF การเติบโตของสหรัฐฯ ในปีนี้จะเป็น "ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตทั่วโลก"
อันดับที่ 8 ประเทศ ซานมารีโนา (San Marino)
กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 86,989 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 2,957,625.47 บาทต่อปี และราว 246,468 บาทต่อเดือน
- ซานมารีโน สาธารณรัฐที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปและเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก แม้จะมีพลเมืองเพียง 34,000 คน แต่กลับเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งสูง อัตราภาษีเงินได้ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรปถึงประมาณหนึ่งในสามมีส่วนช่วยในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ซานมารีโนกำลังดำเนินการเพื่อให้กฎหมายและข้อบังคับทางการคลังของตนสอดคล้องกับสหภาพยุโรปและมาตรฐานสากล
- แต่ประเทศเล็กๆแห่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นตัวที่โดดเด่นในช่วงการระบาดใหญ่และหลังจากนั้น ท่ามกลางสภาวะทางการเงินที่ตึงตัวและวิกฤตพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและภาคการผลิตที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่แข็งแกร่ง
อันดับที่ 7 ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland)
กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 91,932 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 3,125,687.44 บาทต่อปี และราว 260,473 บาทต่อเดือน
- สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศต้นกำเนิดของสิ่งประดิษฐ์ที่โดดเด่นหลายอย่าง อาทิ ช็อกโกแลตขาว, รถเลื่อนหิมะ, มีดพกสวิส, เมาส์คอมพิวเตอร์, เครื่องปั่นแบบจุ่ม, เวลโคร และ LSD ประเทศที่มีประชากรประมาณ 8.8 ล้านคนนี้ สร้างความมั่งคั่งหลักจากภาคบริการด้านธนาคารและประกันภัย การท่องเที่ยว และการส่งออกผลิตภัณฑ์ยา อัญมณี โลหะมีค่า เครื่องมือที่มีความแม่นยำ (เช่น นาฬิกา) และเครื่องจักร (อุปกรณ์ทางการแพทย์และคอมพิวเตอร์)
- รายงาน Global Wealth Report ปี 2023 โดย Credit Suisse ระบุว่า สวิตเซอร์แลนด์ยังคงเป็นผู้นำในด้านความมั่งคั่งเฉลี่ยต่อผู้ใหญ่ ซึ่งสูงถึง 685,230 ดอลลาร์ นอกจากนี้ ประมาณหนึ่งในหกของผู้ใหญ่มีทรัพย์สินมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จึงไม่น่าแปลกใจที่สวิตเซอร์แลนด์มีจำนวนเศรษฐีต่อประชากรสูงที่สุดในโลก
- อย่างไรก็ตาม สวิตเซอร์แลนด์ก็ไม่ได้รอดพ้นจากปัญหาเศรษฐกิจ การระบาดใหญ่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมาก และเนื่องจากประเทศต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียเป็นอย่างมาก สงครามในยูเครนจึงทำให้ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้นและก่อให้เกิดปัญหาห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ ในปี 2022 Credit Suisse เกือบจะล่มสลาย ก่อนที่รัฐบาลจะเข้าแทรกแซงโดยให้ UBS Group ซึ่งเป็นคู่แข่งมายาวนานเข้าซื้อกิจการ การล่มสลายของ Credit Suisse ส่งผลกระทบต่อประเทศ ทำให้ชื่อเสียงของสวิตเซอร์แลนด์ในฐานะศูนย์กลางการธนาคารระดับโลกที่มั่นคงและน่าเชื่อถือสั่นคลอน
- นอกจากนี้ เมื่อปีที่แล้ว ธนาคารแห่งชาติสวิส (SNB) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก -0.75% เป็น 1.75% เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ การดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้ต้นทุนการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ประเทศกำลังประสบกับภาวะส่งออกที่ตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปยังเยอรมนี ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับสองของสวิตเซอร์แลนด์รองจากสหรัฐฯ และกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจเช่นกัน
อันดับที่ 6 ประเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates)
กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 96,846 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 3,292,763.41 บาทต่อปี และราว 274,396 บาทต่อเดือน
- ในอดีต เศรษฐกิจของประเทศริมอ่าวเปอร์เซียแห่งนี้เคยขึ้นอยู่กับภาคการเกษตร การประมง และการค้าไข่มุกเป็นหลัก จนกระทั่งมีการค้นพบน้ำมันในช่วงทศวรรษ 1950 ซึ่งนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ปัจจุบัน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีประชากรที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมีความมั่งคั่งในระดับสูง สถาปัตยกรรมอิสลามแบบดั้งเดิมผสมผสานกับศูนย์การค้าที่ทันสมัย ดึงดูดแรงงานจากทั่วทุกมุมโลกด้วยข้อเสนอเงินเดือนปลอดภาษีและสภาพอากาศที่อบอุ่นตลอดปี มีเพียงประมาณ 20% ของประชากรในประเทศที่เป็นพลเมืองโดยกำเนิด
- เศรษฐกิจของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กำลังมีความหลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจากภาคไฮโดรคาร์บอนที่เป็นกำลังสำคัญมาอย่างยาวนาน ภาคการท่องเที่ยว การก่อสร้าง การค้า และการเงินก็เป็นอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญ อย่างไรก็ตาม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการระบาดใหญ่และราคาน้ำมันที่ตกต่ำลงได้ ในช่วงเวลาหนึ่ง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หลุดจากการจัดอันดับประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกของ IMF เป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ แต่เมื่อราคาพลังงานฟื้นตัว ประเทศก็สามารถกลับสู่ตำแหน่งใน 10 อันดับประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้อย่างรวดเร็ว
อันดับที่ 5 ประเทศ กาตาร์ (Qatar)
กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 112,283 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 3,817,621.32 บาทต่อปี และราว 318,135 บาทต่อเดือน
- แม้ว่าราคาจะเริ่มฟื้นตัวบ้างแล้ว แต่ราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยก็ยังคงลดลงตั้งแต่กลางทศวรรษ 2010 ในปี 2014 รายได้ต่อหัวของชาวกาตาร์สูงถึง 5,170,000 บาท แต่เพียงปีเดียวหลังจากนั้น รายได้ก็ลดลงฮวบฮาบ และยังคงต่ำกว่า 3,600,000 บาท เป็นเวลาถึง 5 ปี อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละประมาณ 360,000 บาทในแต่ละปี แต่ถึงกระนั้น ด้วยปริมาณสำรองน้ำมัน ก๊าซ และปิโตรเคมีที่มหาศาล ประกอบกับจำนวนประชากรที่น้อยนิด เพียง 3 ล้านคน ทำให้ดินแดนแห่งสถาปัตยกรรมล้ำยุค ห้างสรรพสินค้าหรูหรา และอาหารเลิศรสแห่งนี้ ยังคงสามารถครองตำแหน่งประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกมาได้นานถึง 20 ปี
- แต่ในช่วงแรกของการระบาดของโควิด-19 มีเพียงประมาณ 12% ของประชากรในประเทศที่เป็นชาวกาตาร์ ทำให้เกิดการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในหมู่แรงงานข้ามชาติที่มีรายได้น้อย ซึ่งอาศัยอยู่ในที่พักแออัด ส่งผลให้กาตาร์มีอัตราผู้ติดเชื้อสูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค จากนั้น ราคาน้ำมันที่ลดลงก็ส่งผลให้รายได้ของรัฐบาลและภาคเอกชนลดลงตามไปด้วย ในฐานะประเทศที่มีเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออก กาตาร์ยังได้รับผลกระทบจากการหยุดชะงักของการค้าโลกที่เกิดจากสงครามในยูเครน ต่อมา ความขัดแย้งในฉนวนกาซาก็จุดประกายความหวาดกลัวและความไม่แน่นอนครั้งใหม่ทั่วตะวันออกกลาง ถึงกระนั้น จนถึงขณะนี้ เศรษฐกิจของกาตาร์ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตประมาณ 2% ในปี 2024 และ 2025
อันดับที่ 4 ประเทศ สิงคโปร์ (Singapore)
กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 133,737 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 4,547,057.18 บาทต่อปี และราว 378,921 บาทต่อเดือน
- นายเอ็ดวาร์โด ซาเวริน ผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊กชาวอเมริกัน ถือเป็นบุคคลผู้มั่งคั่งที่สุดในสิงคโปร์ ด้วยทรัพย์สินมูลค่ารวมกว่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2011 เขาตัดสินใจละทิ้งสัญชาติอเมริกันพร้อมกับหุ้นบริษัทจำนวน 53 ล้านหุ้น และได้สถานะผู้พำนักถาวรของสิงคโปร์ เช่นเดียวกับมหาเศรษฐีและนักลงทุนรายอื่น ๆ การตัดสินใจครั้งนี้ของซาเวรินไม่ได้มีเพียงแค่แรงดึงดูดจากความเจริญและธรรมชาติของประเทศ แต่สิงคโปร์ยังเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่น่าสนใจ ด้วยนโยบายยกเว้นภาษีกำไรจากการลงทุนและเงินปันผล
- สิงคโปร์มีกลยุทธ์อย่างไรในการดึงดูดบุคคลที่มีสินทรัพย์สูงเหล่านี้? ย้อนกลับไปในปี 1965 ขณะที่สิงคโปร์เพิ่งได้รับเอกราช ประชากรกว่าครึ่งหนึ่งยังไม่รู้หนังสือ ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่จำกัด สิงคโปร์จึงมุ่งมั่นพัฒนาตนเองด้วยการทำงานอย่างหนักและนโยบายที่ชาญฉลาด จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในประเทศที่เอื้อต่อการลงทุนและทำธุรกิจมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ปัจจุบัน สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการค้า การผลิต และการเงินที่สำคัญ และอัตราการรู้หนังสือของประชากรวัยผู้ใหญ่สูงถึง 98%
- อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดใหญ่ได้ ในปี 2020 เศรษฐกิจของประเทศหดตัวลง 3.9% นับเป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษที่สิงคโปร์ต้องเผชิญกับภาวะถดถอย แม้ในปี 2021 เศรษฐกิจจะฟื้นตัวด้วยอัตราการเติบโตที่ 8.8% แต่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าหลัก ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ฉุดรั้งการฟื้นตัว ปัญหาทางเศรษฐกิจของจีนส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการผลิตของสิงคโปร์ ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 20% ของ GDP โดยรวม ในปี 2023 เศรษฐกิจขยายตัวเพียง 1% และคาดการณ์ว่าจะเติบโตไม่เกิน 2% ในปี 2024 และ 2025
อันดับที่ 3 ประเทศ ไอร์แลนด์ (Ireland)
กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 133,895 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 4,552,429.18 บาทต่อปี และราว 379,369 บาทต่อเดือน
- สาธารณรัฐไอร์แลนด์ มีประชากรประมาณ 5.3 ล้านคน ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในช่วงปี 2008-2009 หลังจากการดำเนินมาตรการปฏิรูปที่ท้าทายทางการเมือง เช่น การปรับลดงบประมาณค่าจ้างภาครัฐและการปรับโครงสร้างภาคธนาคาร ไอร์แลนด์ก็สามารถฟื้นฟูเสถียรภาพทางการคลัง กระตุ้นอัตราการจ้างงาน และมีอัตราการเติบโตของ GDP ต่อหัวที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- ไอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีนโยบายภาษีที่เอื้อต่อบริษัทข้ามชาติมากที่สุดในโลก ซึ่งส่งผลประโยชน์ต่อบริษัทข้ามชาติมากกว่าประชาชนชาวไอริชโดยทั่วไป ในช่วงกลางทศวรรษ 2010 บริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ หลายแห่ง อาทิ Apple, Google, Microsoft, Meta และ Pfizer ได้ย้ายฐานภาษีไปยังไอร์แลนด์เพื่อใช้ประโยชน์จากอัตราภาษีนิติบุคคลที่ต่ำเพียง 12.5% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่น่าดึงดูดที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ในปี 2023 บริษัทข้ามชาติเหล่านี้มีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของไอร์แลนด์รวมกันมากกว่า 50% หากไอร์แลนด์ปรับใช้อัตราภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำ 15% ตามที่ OECD เสนอและหลายประเทศได้นำไปปฏิบัติแล้ว ก็อาจส่งผลให้ไอร์แลนด์สูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขัน
- แม้ว่าครัวเรือนชาวไอริชจะมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่รายได้สุทธิต่อหัวของครัวเรือนยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรปโดยรวมเล็กน้อย ตามข้อมูลจาก OECD ด้วยช่องว่างระหว่างกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูงสุดและต่ำสุดที่ยังคงมีอยู่ (กลุ่มประชากร 20% แรกมีรายได้เกือบห้าเท่าของกลุ่มประชากร 20% สุดท้าย) ชาวไอริชส่วนใหญ่อาจไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปที่ว่าพวกเขาอยู่ในกลุ่มคนร่ำรวยที่สุดในโลก
อันดับที่ 2 ประเทศ มาเก๊า (Macao SAR)
กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 134,141 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 4,560,793.18 บาทต่อปี และราว 380,066 บาทต่อเดือน
- เมื่อไม่นานมานี้ หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า "ลาสเวกัสแห่งเอเชีย" แห่งนี้กำลังก้าวสู่การเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคบางประการก็ตาม มาเก๊า เดิมทีเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส อุตสาหกรรมการพนันในเขตบริหารพิเศษของสาธารณรัฐประชาชนจีนแห่งนี้ได้รับการเปิดเสรีในปี 2001 และความมั่งคั่งก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยประชากรประมาณ 700,000 คน และคาสิโนมากกว่า 40 แห่งกระจายอยู่บนพื้นที่ประมาณ 30 ตารางกิโลเมตร คาบสมุทรแคบ ๆ ทางตอนใต้ของฮ่องกงแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
- อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 การเดินทางทั่วโลกหยุดชะงัก และมาเก๊าก็หลุดจาก 10 อันดับประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในช่วงเวลาหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมา มาเก๊าก็กลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง กำลังซื้อต่อหัวของประชากรอยู่ที่ประมาณ 125,000 ดอลลาร์ในปี 2019 และปัจจุบันก็สูงยิ่งกว่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
อันดับที่ 1 ประเทศ ลักเซมเบิร์ก (Luxembourg)
กำลังซื้อต่อหัวต่อปีอยู่ที่ 143,743 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 4,887,261.12 บาทต่อปี และราว 407,271 บาทต่อเดือน
- ลักเซมเบิร์กเป็นที่รู้จักในด้านปราสาทอันงดงาม ทัศนียภาพชนบทที่สวยงาม เทศกาลทางวัฒนธรรม และอาหารท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของธนาคารต่างประเทศหลายแห่งที่ให้บริการเปิดบัญชีแก่ชาวต่างชาติ อย่างไรก็ดี การเยือนลักเซมเบิร์กเพียงเพื่อธุรกรรมทางการเงินคงเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ ตั้งอยู่ใจกลางทวีปยุโรป และมีประชากรประมาณ 670,000 คน มีสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจมากมาย รัฐบาลลักเซมเบิร์กให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยทุ่มงบประมาณจำนวนมากในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระบบสาธารณสุข และการศึกษา ส่งผลให้ประชาชนมีมาตรฐานการครองชีพสูงที่สุดในกลุ่มประเทศยูโรโซน
- แม้ว่าวิกฤตการณ์ทางการเงินโลกและแรงกดดันจากสหภาพยุโรปและองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ในการลดความลับทางการเงินจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของลักเซมเบิร์กมากนัก แต่การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ก็ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและการจ้างงานในประเทศ อย่างไรก็ตาม ลักเซมเบิร์กสามารถฟื้นตัวจากวิกฤตนี้ได้ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ในยุโรป โดยเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวจากการเติบโตติดลบ 0.9% ในปี 2020 เป็นการเติบโตมากกว่า 7% ในปี 2021
- ด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของลักเซมเบิร์กไม่ยั่งยืนนัก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น สงครามในยูเครน และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในยูโรโซน ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตเพียง 1.3% ในปี 2022 และหดตัว 1% ในปี 2023 แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ว่าจะเติบโต 1.2% ในปีนี้ ถึงกระนั้น การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับลักเซมเบิร์ก เนื่องจากประเทศยังคงมีมาตรฐานการครองชีพที่สูงมาก โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของลักเซมเบิร์กทะลุ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2014 และยังคงรักษาระดับดังกล่าวไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
ตาราง 20 อันดับประเทศที่รวยที่สุดในโลก ปี 2024
อันดับ |
ประเทศ/ดินแดน |
GDP-PPP ต่อหัว (ดอลลาร์สหรัฐ)
|
1 |
ลักเซมเบิร์ก |
143,743 |
2 |
มาเก๊า |
134,141 |
3 |
ไอร์แลนด์ |
133,895 |
4 |
สิงคโปร์ |
133,737 |
5 |
กาตาร์ |
112,283 |
6 |
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ |
96,846 |
7 |
สวิตเซอร์แลนด์ |
91,932 |
8 |
ซานมารีโน |
86,989 |
9 |
สหรัฐอเมริกา |
85,373 |
10 |
นอร์เวย์ |
82,832 |
11 |
กายอานา |
80,137 |
12 |
เดนมาร์ก |
77,641 |
13 |
บรูไนดารุสซาลาม |
77,534 |
14 |
ไต้หวัน |
76,858 |
15 |
ฮ่องกง |
75,128 |
16 |
เนเธอร์แลนด์ |
74,158 |
17 |
ไอซ์แลนด์ |
73,784 |
18 |
ซาอุดีอาระเบีย |
70,333 |
19 |
ออสเตรีย |
69,460 |
20 |
สวีเดน |
69,177 |
ประเทศร่ำรวยที่สุดในโลก อาจจะมีขนาดเล็กกว่าที่คุณคิด
ลองนึกภาพประเทศร่ำรวยที่สุดในโลกคุณนึกถึงอะไร? แล้วถ้าเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลกหล่ะ? หลายคนอาจจะอึ้งไปเลย ถ้ารู้ว่าประเทศที่รวยที่สุดหลายๆ ประเทศบนโลกใบนี้ ก็ดันเป็นประเทศจิ๋วเช่น ประเทศเล็กพริกขี้หนูอย่างซานมารีโน ลักเซมเบิร์ก สวิตเซอร์แลนด์ หรือสิงคโปร์ ก็รวยล้นฟ้าได้ด้วยระบบการเงินและภาษีที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ คนเก่งๆ และเงินฝากก้อนโต ส่วนกาตาร์หรือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็โกยทรัพย์จากทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล อย่างน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ หรืออย่างมาเก๊า ดินแดนแห่งคาสิโนในเอเชีย แม้จะเจอพิษโควิดเล่นงาน ทั้งล็อกดาวน์ปิดๆ เปิดๆ และจำกัดการเดินทางนานเกือบ 3 ปี ก็ยังรวยไม่สร่าง เพราะนักท่องเที่ยวสายเสี่ยงโชคยังคงหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
นิยามคำว่า รวย ในยุคที่ความเหลื่อมล้ำสูง
แต่คำว่า "รวย" ในยุคที่ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างกว้างขึ้นนั้น เราจะนิยามมันอย่างไร? แม้ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเป็นตัวชี้วัดมูลค่าของสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผลิตภายในประเทศ แต่การนำตัวเลขนี้มาหารด้วยจำนวนประชากรที่ทำงานเต็มเวลา จะช่วยให้เราเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่าประชากรของประเทศหนึ่งร่ำรวยหรือยากจนเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับอีกประเทศหนึ่ง และทำไมเหตุผลที่ประเทศ "รวย" มักจะเป็นประเทศ "เล็ก" จึงชัดเจนขึ้น เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้มีขนาดใหญ่โตอย่างไม่สมส่วน เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้ภาพที่แม่นยำยิ่งขึ้นเกี่ยวกับมาตรฐานการครองชีพโดยเฉลี่ยของประชาชนในแต่ละประเทศ จำเป็นต้องนำอัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพในแต่ละพื้นที่เข้ามาพิจารณาด้วย ตัวเลขที่ได้จากการคำนวณโดยคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้เรียกว่า "ภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ" หรือ Purchasing Power Parity (PPP) ซึ่งมักจะแสดงผลเป็นหน่วย "ดอลลาร์สากล" เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบระหว่างประเทศต่างๆ ได้อย่างสะดวก และ เราไม่สามารถสรุปโดยอัตโนมัติว่าประเทศที่มีค่า PPP สูง ประชากรโดยรวมจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ในโลก เนื่องจากค่า PPP เป็นเพียงค่าเฉลี่ย และภายในแต่ละประเทศยังคงมีความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้าง ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีอยู่แล้วได้รับประโยชน์มากกว่ากลุ่มอื่นๆ ดังนั้น แม้ค่า PPP จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ แต่ก็มิได้สะท้อนภาพรวมของความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรทั้งหมดในประเทศนั้นๆ ได้อย่างสมบูรณ์
โควิด 19 คือสิ่งที่ เปิดโป่งความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างชัดเจน
การระบาดของโควิด-19 ได้เปิดเผยให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างชัดเจนในรูปแบบที่ไม่เคยมีใครคาดการณ์มาก่อน แม้ว่าประเทศที่ร่ำรวยที่สุด ซึ่งมักจะมีความเสี่ยงต่อไวรัสโคโรนาสูงกว่าเนื่องจากมีประชากรสูงอายุและปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ จะมีทรัพยากรในการดูแลผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือได้ดีกว่า แต่ทรัพยากรเหล่านั้นก็มิได้เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกันสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม ยิ่งไปกว่านั้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากมาตรการล็อกดาวน์ยังส่งผลกระทบต่อแรงงานที่มีรายได้น้อยมากกว่าผู้ที่มีอาชีพที่มีรายได้สูง ซึ่งนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำรูปแบบใหม่ระหว่างผู้ที่สามารถทำงานจากที่บ้านได้อย่างสะดวกสบายกับผู้ที่ต้องเสี่ยงต่อสุขภาพและความปลอดภัยด้วยการเดินทางไปยังสถานที่ทำงาน ผู้ที่สูญเสียงานเนื่องจากอุตสาหกรรมของพวกเขาปิดตัวลงอย่างสิ้นเชิงพบว่าตัวเองแทบไม่มีหลักประกันใดๆ เลย ซึ่งเผยให้เห็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ในระบบสวัสดิการที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในโลก
พอสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย เงินเฟ้อก็พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก แถมรัสเซียยังบุกยูเครน ทำให้วิกฤตราคาอาหารและน้ำมันที่กำลังคุกรุ่นอยู่แล้วลุกลามบานปลายไปกันใหญ่ ยังไม่ทันจะหายใจหายคอ ก็เกิดเรื่องอิสราเอลกับฮามาสตามมาอีก สร้างความปั่นป่วนให้กับซัพพลายเชนและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กับพลังงานทั่วโลก และแน่นอนว่าครอบครัวที่มีรายได้น้อยมักจะได้รับผลกระทบหนักที่สุดเสมอ เพราะพวกเขาต้องจำใจใช้สัดส่วนรายได้มากกว่าคนอื่น ๆ ไปกับค่าใช้จ่ายจำเป็นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นค่าที่อยู่อาศัย ค่าอาหาร หรือค่าเดินทาง ซึ่งราคาสินค้าและบริการเหล่านี้ก็ผันผวนสูง แถมยังมีแนวโน้มจะพุ่งขึ้นมากกว่าสินค้าอื่น ๆ อีกด้วย
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจกำลังสูงขึ้นทุกๆปี
ข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) บอกเราว่า ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศต่างๆ นั้นน่าตกใจมากทีเดียว ใน 10 ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก กำลังซื้อเฉลี่ยต่อคนต่อปีอยู่ที่ไม่ถึง 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 52,000 บาท ในขณะที่ 10 ประเทศที่ร่ำรวยที่สุด กำลังซื้อเฉลี่ยต่อคนต่อปีนั้นสูงกว่า 110,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3.8 ล้านบาท นี่คือความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางสถิติดังกล่าวควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เน้นย้ำหลายครั้งว่าตัวเลขบางตัวอาจมีความคลาดเคลื่อน ตัวอย่างเช่น หลายประเทศในอันดับดังกล่าวเป็น "ศูนย์กลางทางการเงินนอกประเทศ" หรือ "Tax Havens" ซึ่งหมายความว่าความมั่งคั่งของพวกเขาส่วนหนึ่งไม่ได้เกิดขึ้นภายในประเทศ แต่มาจากเงินทุนที่ถูกนำมาพักไว้เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ทำให้ GDP ของพวกเขาดูสูงเกินจริง
แม้ว่าในปี 2564 จะมีข้อตกลงระดับโลกให้บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ต้องจ่ายภาษีขั้นต่ำ 15% โดยมีรัฐบาลกว่า 130 ประเทศลงนาม (แต่ยังไม่สามารถบังคับใช้ได้จริงเนื่องจากการคัดค้านจากนักการเมืองหลายประเทศ) นักวิจารณ์หลายฝ่ายให้เหตุผลว่าอัตราภาษีขั้นต่ำนี้แทบไม่แตกต่างจากอัตราภาษีของศูนย์กลางทางการเงินนอกประเทศอย่างไอร์แลนด์ กาตาร์ และมาเก๊า
มีการประเมินว่ากว่า 15% ของประเทศและดินแดนทั่วโลกเป็นศูนย์กลางทางการเงินนอกประเทศ และ IMF ยังคาดการณ์เพิ่มเติมว่า ภายในสิ้นทศวรรษ 2020 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั่วโลกราว 40% อาจมาจากกลยุทธ์การหลีกเลี่ยงภาษี เพิ่มขึ้นจาก 30% ในทศวรรษ 2010 กล่าวคือ เงินลงทุนเหล่านี้ไหลผ่านบริษัทที่ไม่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แท้จริง และแทบจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจใดๆ แก่ประชากรในประเทศที่เงินเหล่านี้ถูกส่งไป
ที่มา Global Finance , forbesindia และ sapa-usa