ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามคาดการณ์ ตอกย้ำสัญญาณเงินเฟ้อที่เข้าใกล้เป้าหมาย และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีสัญญาณถดถอย SCB CIO มองว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ และแนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ เป็นหลัก พร้อมกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดหุ้นไทยและเวียดนามในพอร์ตเสริม บทความนี้ SPOTLIGHT จะเจาะลึกการวิเคราะห์ของ SCB CIO และกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูง
SCB CIO คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% เหลือ 4.75%-5.00% ต่อปี และอาจลดลงอีก 0.5% ในปีนี้ และ 1% ในปีหน้า เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงเข้าใกล้เป้าหมาย 2% แม้ว่าการจ้างงานจะอ่อนแอลง แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมยังไม่มีสัญญาณถดถอย
โดยการลดดอกเบี้ยจะช่วยให้ต้นทุนการเงินลดลง ส่งผลดีต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน SCB CIO แนะนำให้ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่ม Quality Growth เช่น IT และกลุ่ม Defensive เช่น สาธารณูปโภค สุขภาพ และสินค้าจำเป็น
สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุน ควรเน้นกระจายความเสี่ยง โดยพอร์ตหลักแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกู้เอกชนต่างประเทศคุณภาพสูง (IG) และหุ้นในตลาดพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนพอร์ตเสริม แนะนำให้แบ่งเงินลงทุน 15-25% ลงในตลาดหุ้นเวียดนามและไทย เนื่องจากเศรษฐกิจเวียดนามมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และเศรษฐกิจไทยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า การที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% สู่ระดับ 4.75%-5.00% เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และสะท้อนความมั่นใจของเฟดว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่เป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืน
เฟดมองว่าความเสี่ยงในการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อและการจ้างงานมีความสมดุลกัน และแสดงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการจ้างงาน ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยอีก 0.5% ภายในสิ้นปีนี้ และปรับลดอีก 1% และ 0.5% ในปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ
นอกจากนี้ เฟดยังปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2567 ลงเล็กน้อยเหลือ 2.0% ต่อปี และปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการว่างงานในช่วงสิ้นปี 2567 เป็น 4.4% ขณะที่ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อ PCE ในช่วงสิ้นปี 2567 ลงเหลือ 2.3% โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั้ง PCE และ Core PCE จะเข้าสู่ระดับ 2.0% ในปี 2569
นายศรชัย มองว่า แม้ตลาดแรงงานจะอ่อนแอลง แต่ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้ และยังไม่มีสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย แม้จะมีสัญญาณการชะลอตัวแบบ Soft landing ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
นอกจากนี้ เฟดมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed fund ลงรวม 0.5% ในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้อยู่ที่ 4.25%-4.50% และปรับลดรวมอีก 1% ในปี 2568 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย Fed funds สิ้นปี 2568 อยู่ที่ 3.25%-3.50%
การลดดอกเบี้ยของเฟดในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ข้อมูลตั้งแต่ปี 2517 ชี้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ตลาดหุ้นและตราสารหนี้มักให้ผลตอบแทนที่ดี ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงในช่วง 12 เดือนหลังการลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำและน้ำมันก็มักจะปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับตราสารหนี้ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ มักจะชันขึ้นเมื่อใกล้ช่วงที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเติบโตได้ดีและไม่เกิดภาวะถดถอย ความชันของ Yield Curve อาจเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
การที่ Yield Curve ชันขึ้นในรอบนี้สะท้อนถึงความกังวลต่อเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยในปี 2567 ยังคงต่ำ ทำให้คาดว่า Bond Yield สหรัฐฯ จะลดลงไม่มาก และผลตอบแทนของตราสารหนี้สหรัฐฯ น่าจะมาจาก Carry Yield เป็นหลัก ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่ต้องการพอร์ตที่มีความผันผวนต่ำในการสร้างกระแสเงินสด
นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินและสนับสนุนการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน จากสถิติในอดีตพบว่าหลังจากเฟดลดดอกเบี้ย 12 เดือน ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ถดถอย หุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ เช่น S&P 500 มักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นขนาดเล็ก เช่น Russell 2000
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่ม Quality Growth เช่น IT และกลุ่ม Defensive เช่น สาธารณูปโภค, สุขภาพ, และสินค้าจำเป็น ยังคงน่าสนใจลงทุน เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดพัฒนาแล้วมากกว่าตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากคาดว่ากำไรของตลาดเกิดใหม่จะชะลอตัวในปี 2568
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน SCB CIO ยังคงเน้น 3 วัตถุประสงค์หลัก เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีแม้ในช่วงตลาดผันผวน โดยให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง จากสถิติในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า เดือนกันยายนมีผลตอบแทนแย่ที่สุดในทุกสินทรัพย์ และเดือนตุลาคมมีความผันผวนสูงที่สุด
โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ข้อมูลตั้งแต่ปี 2527 นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมือง เช่น การเลือกตั้งสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามยูเครน-รัสเซีย และความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ดังนั้น การกระจายการลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต
พอร์ตลงทุนหลัก (Core Portfolio) สำหรับการลงทุนระยะยาว (1 ปีขึ้นไป) ควรมีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ
พอร์ตเสริม (Opportunistic Portfolio) สำหรับนักลงทุนที่มีระดับความสามารถในการรับความเสี่ยงปานกลางถึงสูง อาจพิจารณาจัดสรรเงินลงทุนบางส่วน (ประมาณ 15-25%) ไปยังตลาดหุ้นเวียดนามและไทย
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในปีนี้ ณ วันที่ 18 กันยายน 2567 โดยอยู่ที่ 24.5% ซึ่งได้รับแรงหนุนจาก Bond Yield ที่ปรับตัวลดลง และความต้องการถือครองทองคำที่เพิ่มขึ้นของธนาคารกลางทั่วโลก รองลงมาคือตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทน 19.3% จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีในช่วงครึ่งปีแรก จากคาดว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย และผลประกอบการที่ดีของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
Global REITs ให้ผลตอบแทน 13.8% จาก Bond Yield ที่ปรับตัวลดลง ซึ่งส่งผลดีต่อผลตอบแทนของ REITs ตามมาด้วย DM Equity ex US ที่ 10.7%, EM Equity ที่ 9.1%, HY Bond ที่ 8.8%, TIPS ที่ 5.2%, IG Bond ที่ 5.1%, Gov Bond ที่ 2.8% และ Oil ที่ -1.4%
สำหรับผลตอบแทนการลงทุนในแต่ละประเทศ US large ให้ผลตอบแทนสูงสุดที่ 19.3% ตามมาด้วย India ที่ 18.2%, Vietnam ที่ 12.2%, ยุโรปที่ 11.8%, China offshore ที่ 11.3%, US Small ที่ 9.9%, Japan ที่ 9.2%, Indonesia ที่ 7.8%, ไทยที่ 4.7% และ Korea ที่ -3%
แม้ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งสัญญาณเชิงบวกต่อตลาดหุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลก แต่ก็ยังคงมีความไม่แน่นอนและความผันผวนในอนาคต ทั้งจากปัจจัยทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดทุนได้
ดังนั้น นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงและการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการเงินทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การจัดพอร์ตลงทุนหลักที่เน้นสร้างกระแสเงินสดและการเติบโตควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงด้วยทองคำ จะเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับนักลงทุน
ในขณะเดียวกัน นักลงทุนที่มีความสามารถในการรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น อาจพิจารณาจัดสรรเงินลงทุนบางส่วนไปยังตลาดหุ้นเวียดนามและไทยเพื่อแสวงหาโอกาสในการเติบโตเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม การติดตามข่าวสารและสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด รวมถึงการปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างผลตอบแทนที่ดีและบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว