เทศกาลกินเจ ประจำปี 2567 เวียนมาบรรจบอีกครั้ง พร้อมกับสีสันแห่งธงเหลือง อาหารเจหลากหลาย และผู้คนมากมายที่ตั้งใจละเว้นเนื้อสัตว์ เพื่อชำระล้างกายใจ แต่ท่ามกลางบรรยากาศแห่งศรัทธา กลับมี "เรื่องเศร้าเคล้าน้ำตา" แฝงอยู่ เมื่อภาวะเศรษฐกิจซบเซา และเงินเฟ้อ ทำให้ "เทศกาลกินเจปีนี้ แพงกว่าที่เคย!"
ราคาอาหารเจที่พุ่งสูงขึ้น กลายเป็นอุปสรรคสำคัญ สำหรับผู้ที่ต้องการร่วมถือศีลกินผัก หลายคนต้องปรับตัว หันมากินเจแบบยืดหยุ่น หรือเลือกกินเฉพาะบางมื้อ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย สะท้อนให้เห็นภาพ "กินเจแบบเศรษฐกิจ" ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ณ ขณะนี้
เทศกาลกินเจปีนี้ แม้หลายท่านตั้งใจถือศีลกินผัก แต่ดูเหมือนภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอุปสรรคสำคัญ ผลสำรวจพฤติกรรมการกินเจของคนไทยล่าสุดจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยให้เห็นภาพที่น่าสนใจ นั่นคือ "ปรากฏการณ์สินค้าเจราคาแพง ยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง"
จากการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง 1,265 รายทั่วประเทศ พบว่า คนไทยมีแนวโน้ม 'ปรับตัว' ในการกินเจมากขึ้น โดยหันมากินเจแบบยืดหยุ่น กินบางมื้อ หรือเลือกกินเฉพาะบางประเภท สอดคล้องกับข้อมูลที่พบว่า ในปี พ.ศ. 2565 มีผู้บริโภคที่กินเจบางมื้อเพียง 18.8% แต่ในปี พ.ศ. 2567 สัดส่วนนี้เพิ่มสูงขึ้นถึง 56.8%
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ คาดว่าเป็นผลมาจากราคาอาหารเจที่แพงขึ้น ยกตัวอย่างเช่น โปรตีนเกษตร เต้าหู้ และผักสด ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการประกอบอาหารเจ มีราคาสูงขึ้นกว่าช่วงเวลาปกติ ประกอบกับค่าครองชีพโดยรวมที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคต้องระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น แม้ในช่วงเทศกาลกินเจก็ตาม
นอกจากนี้ จากการสอบถาม ยังพบว่าผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยรู้สึกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน หลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นว่า อยากให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวโดยเร็ว เพื่อที่จะได้ร่วมเทศกาลกินเจได้อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย และสามารถเลือกซื้ออาหารเจที่มีคุณภาพได้อย่างเต็มที่
เทศกาลกินเจปี 2567 สะท้อนให้เห็นถึงภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนอย่างชัดเจน แม้ว่าโดยธรรมชาติของเทศกาลนี้ ประชาชนจะงดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ แต่ราคาผักและวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารเจกลับมิได้ "งดเว้น" การปรับตัวสูงขึ้น ผลสำรวจทั่วประเทศชี้ว่า ผู้บริโภคกว่า 66.5% รับรู้ถึงราคาอาหารเจที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สำหรับปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ แม้ปริมาณการบริโภคสินค้าเจจะลดลง แต่มูลค่าการใช้จ่ายโดยรวมกลับเพิ่มขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ปี พ.ศ. |
มูลค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน
|
2564 | 3,330 บาท |
2565 | 4,185 บาท |
2566 | 4,587 บาท |
2567 | 4,696 บาท |
ข้อมูลที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันนี้ ชี้ให้เห็นว่าราคาอาหารเจแพงขึ้น แม้คนไทยจะพยายามประหยัดด้วยการซื้อน้อยลง แต่มูลค่าใช้จ่ายก็แทบไม่ต่างจากเดิม ยิ่งไปกว่านั้น "มูลค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน" ในช่วงเทศกาลกินเจก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2564 คนไทยใช้จ่ายเฉลี่ย 3,330 บาท ปี 2565 เพิ่มเป็น 4,185 บาท ปี 2566 เพิ่มเป็น 4,587 บาท และปี 2567 แม้จะซื้อของน้อยลง แต่ก็ยังใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 4,696 บาท
ปี พ.ศ. | มูลค่าการใช้จ่าย |
2565 | 42,235 ล้านบาท |
2566 | 44,588 ล้านบาท |
2567 | 45,003 ล้านบาท |
เมื่อมองภาพรวมของประเทศ จะเห็นว่าอัตราการเติบโตของตลาดอาหารเจชะลอตัวลง แต่กลับกัน มูลค่าการใช้จ่ายรวมกลับเพิ่มขึ้น โดยในปี 2565 มูลค่าการใช้จ่ายอยู่ที่ 42,235 ล้านบาท ปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 44,558 ล้านบาท และปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 45,003 ล้านบาท
จากข้อมูลทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นว่าเทศกาลกินเจปี 2567 เป็นเครื่องบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อที่กระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค แม้กระทั่งในช่วงเทศกาลทางศาสนาที่เน้นการบริโภคอย่างยั่งยืนและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
เทศกาลกินเจประจำปี 2567 นี้ แม้ภาพรวมจะหดตัวลงราว 13.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า บ่งชี้ถึงบรรยากาศที่ไม่คึกคักเท่าที่ควร แต่ข้อมูลเชิงสถิติกลับแสดงให้เห็นถึง ภาวะค่าใช้จ่ายที่มิได้ลดลงตาม โดยแม้พฤติกรรมของผู้บริโภคจะปรับเปลี่ยนไปสู่ความยืดหยุ่นในการบริโภคอาหารเจมากขึ้น เช่น การรับประทานเจบางมื้อ ซึ่งนำไปสู่ปริมาณการบริโภคที่ลดลง ทว่า มูลค่าการใช้จ่ายโดยรวมกลับไม่ได้ลดลงตาม
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ ภาวะเงินเฟ้อในเทศกาลกินเจ นี้ ประกอบด้วย
นอกจากนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศยังสะท้อนให้เห็นถึง ความวิตกกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยประชาชนจำนวนมากแสดงความปรารถนาให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัว มีฐานะทางการเงินที่มั่นคง และประกอบกิจการค้าได้อย่างรุ่งเรือง ซึ่งความคาดหวังดังกล่าว มิใช่จำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่รับประทานเจเท่านั้น หากแต่สะท้อนถึง ความต้องการของสังคมไทยโดยรวม ณ ปัจจุบัน
เทศกาลกินเจ 2567 สัญญาณเตือนเศรษฐกิจไทย?
เทศกาลกินเจปี 2567 นี้ นอกจากจะเป็นช่วงเวลาแห่งการถือศีล ละเว้นเนื้อสัตว์ และทำจิตใจให้บริสุทธิ์แล้ว ยังสะท้อนให้เห็นภาพรวมเศรษฐกิจไทยได้อย่างน่าสนใจ แม้เม็ดเงินจะสะพัดกว่า 45,003 ล้านบาท แต่เบื้องหลังตัวเลขดังกล่าว กลับแฝงไปด้วยสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
"กินเจแบบใหม่" สะท้อนภาวะเงินเฟ้อ พฤติกรรม "กินเจแบบยืดหยุ่น" ที่เพิ่มสูงขึ้น บ่งชี้ว่าผู้บริโภคจำนวนมากกำลังเผชิญกับภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น แม้กระทั่งในเทศกาลกินเจ ซึ่งเดิมทีเน้นการบริโภคพืชผัก ที่ควรจะมีราคาถูกกว่าเนื้อสัตว์ แต่ปัจจุบัน ราคาอาหารเจกลับพุ่งสูงขึ้น สวนทางกับกำลังซื้อของประชาชน
เศรษฐกิจซบเซา กระทบกำลังใจ ความกังวลต่อเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่เรื่องของปากท้อง แต่ยังส่งผลต่อจิตใจ ความรู้สึกของผู้คน ดังจะเห็นได้จากเสียงสะท้อนของผู้บริโภค ที่อยากให้เศรษฐกิจฟื้นตัว เพื่อที่จะได้ร่วมเทศกาลกินเจได้อย่างสบายใจ
บทบาทของรัฐบาล รัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหา ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการออกมาตรการควบคุมราคาสินค้า ช่วยเหลือผู้ประกอบการ และกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้เทศกาลกินเจในปีต่อๆ ไป เป็นช่วงเวลาแห่งการทำบุญ ที่ปราศจากความกังวลเรื่องค่าครองชีพ
สุดท้ายนี้ เทศกาลกินเจ เป็นมากกว่าแค่เทศกาลทางศาสนา แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนสภาพสังคม และเศรษฐกิจไทย การร่วมกันแก้ไขปัญหา และสร้างความเข้มแข็งจากภายใน จะเป็นรากฐานสำคัญ นำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคน