Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เศรษฐกิจไทยสะเทือน โรงงานปิดตัว สินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้ามาไม่หยุด
โดย : อมรินทร์ทีวีออนไลน์

เศรษฐกิจไทยสะเทือน โรงงานปิดตัว สินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้ามาไม่หยุด

20 ก.ค. 67
04:46 น.
|
1.4K
แชร์

สื่อต่างชาติเผย สถานการณ์ในภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤติ โรงงานจำนวนมากต้องปิดตัวลง โดยเฉพาะโรงงานขนาดใหญ่ ขณะที่โรงงานที่เปิดใหม่ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็ก ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ข้อมูลล่าสุดจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมเผยให้เห็นตัวเลขที่น่าตกใจ โดยมีโรงงานปิดตัวลงเป็น พันๆแห่งในช่วงปีที่ผ่านมา และอัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นถึง 80%

นอกจากนี้ผู้ประกอบการรายย่อยต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาพลังงานและค่าแรง ทำให้แข่งขันกับธุรกิจข้ามชาติได้ยากลำบาก ขณะที่รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาด้วยการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้าราคาถูกนำเข้า และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก บทความนี้จะพาคุณดูสถานการณ์วิกฤตในภาคอุตสาหกรรมไทย ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงความท้าทายและความหวังในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ

เศรษฐกิจไทยสั่นคลอน โรงงานปิดตัว สินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้ามาไม่หยุด

เศรษฐกิจไทยสะเทือน โรงงานปิดตัว สินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้ามาไม่หยุด

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า แม้ภายใต้แสงไฟสปอร์ตไลต์ที่ฉายส่องมายังประเทศไทย เมื่อ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน เปิดโรงงานแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความภาคภูมิใจในฐานะผู้นำด้านอุตสาหกรรมของไทยอาจถูกบดบังด้วยเงามืดของความจริงที่ว่า โรงงานผลิตรถยนต์ Suzuki ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทยมานาน กำลังจะปิดตัวลง สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นภาพรวมที่น่าเป็นห่วงของภาคอุตสาหกรรมไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาคลื่นซัดสาดเข้ามาจากหลายทิศทาง ทั้งการปิดตัวของโรงงานจำนวนมาก การทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากจีน และการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทางอุตสาหกรรม

ตัวเลขเกือบ 2,000 โรงงาน ที่ปิดตัวลงในช่วงปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เพียงแค่สถิติที่น่าตกใจ หากแต่เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเศรษฐกิจไทย ภาคอุตสาหกรรมที่เคยเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน GDP กำลังสั่นคลอน ภาคแรงงานที่เคยเป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กำลังถูกบีบให้ต้องเผชิญกับภาวะว่างงานและความไม่มั่นคง รวมถึงแรงงานอย่างคุณจันทร์เพ็ญ สุเอทรวง วัย 54 ปี ผู้ซึ่งทำงานในโรงงาน V.M.C. Safety Glass มานานเกือบ 20 ปี ต้องประสบกับภาวะว่างงานอย่างกะทันหัน เมื่อโรงงานประกาศปิดตัวลง

"ดิฉันไม่มีเงินออม และมีภาระหนี้สินอีกหลายแสนบาท" คุณจันทร์เพ็ญซึ่งเป็นผู้หารายได้หลักของครอบครัวที่มีสามีป่วยและบุตรสาววัยรุ่นกล่าว "ในวัยนี้ ดิฉันจะหางานที่ไหนได้อีก? ในขณะที่ยังขาดรายได้ที่มั่นคง คุณจันทร์เพ็ญ กล่าวว่า เธอกำลังรอคอยเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่ประชาชน 50 ล้านคนจะมีสิทธิ์ได้รับภายใต้โครงการนี้ “เศรษฐกิจย่ำแย่อยู่แล้วในสมัยรัฐบาลที่แล้ว” เธอกล่าว “แต่แม้จะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ เศรษฐกิจก็ยังคงอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง”

เศรษฐกิจไทยสั่นคลอน โรงงานปิดตัว สินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้ามาไม่หยุด

สัดส่วนภาคการผลิตใน GDP ของไทยลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ 24.2% ในไตรมาสแรกของปี 2567 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ปี 2536

หมายเหตุ: GDP ในที่นี้หมายถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (ข้อมูลรวม) จากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

เบื้องหลังโรงงานปิดตัว ปัญหาภาคอุตสาหกรรมไทยที่นายกฯ เศรษฐาต้องแก้

ด้านกรรมการบริษัท V.M.C. Safety Glass ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อสาธารณะถึงสาเหตุของการปิดโรงงาน ทำให้สถานการณ์ในภาคอุตสาหกรรมที่กำลังเผชิญกับความยากลำบาก ส่งผลกระทบต่อความมุ่งมั่นของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตในอัตราเฉลี่ย 5% ต่อปี ตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่ท้าทายอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 1.73% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา “ภาคอุตสาหกรรมกำลังประสบภาวะชะลอตัว และกำลังการผลิตได้ลดลงต่ำกว่า 60%” นายกรัฐมนตรีเศรษฐากล่าวต่อรัฐสภาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา “เห็นได้ชัดว่าภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป”

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล ได้แสดงความเห็นว่า โมเดลเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยภาคอุตสาหกรรม ซึ่งประเทศไทยใช้มาอย่างยาวนานนั้น อาจไม่สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจในปัจจุบัน “ประเทศจีนกำลังส่งออกสินค้าในปริมาณมาก และสินค้าราคาถูกเหล่านี้กำลังส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมของไทยอย่างมีนัยสำคัญ” นายศุภวุฒิ กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ “ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแนวทาง” นายศุภวุฒิ กล่าวเน้นย้ำ พร้อมเสนอให้ประเทศไทยมุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่แตกต่างจากจีน และส่งเสริมภาคเกษตรกรรมให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น “ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ในเรื่องนี้”

ปรับตัว หรือ ปิดตัว สัญญาณเตือนจากโรงงานที่ปิดตัวลง

เศรษฐกิจไทยสั่นคลอน โรงงานปิดตัว สินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้ามาไม่หยุด

วิกฤตการณ์ในภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง ข้อมูลล่าสุดที่เปิดเผยโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม ชี้ให้เห็นถึงสัญญาณอันตรายที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจำนวนมาก ตัวเลขโรงงานที่ปิดตัวลงในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม 2566 ถึงเดือนมิถุนายน 2567 เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจถึง 40% เมื่อเทียบกับช่วง 12 เดือนก่อนหน้า นั่นหมายความว่า ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งปี มีโรงงานหลายพันแห่งต้องปิดกิจการลง ไม่ว่าจะเป็นโรงงานขนาดเล็กที่ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค หรือโรงงานขนาดใหญ่ที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ผลกระทบที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ การเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงาน ซึ่งพุ่งสูงขึ้นถึง 80% ในช่วงเวลาเดียวกัน ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงแรงงานกว่า 51,500 คน ที่ต้องสูญเสียรายได้และความมั่นคงในชีวิต หลายคนต้องเผชิญกับความยากลำบากในการหาเลี้ยงชีพและครอบครัว สถานการณ์นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่ต่อแรงงานและครอบครัวของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ การปิดตัวของโรงงานจำนวนมากทำให้กำลังการผลิตของประเทศลดลง ส่งผลต่อการส่งออกและการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้การลงทุนในประเทศลดลง

สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เมื่อ สินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้ามาไม่หยุด

เศรษฐกิจไทยสะเทือน โรงงานปิดตัว สินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้ามาไม่หยุด

ปัญหาของภาคอุตสาหกรรมไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การปิดตัวของโรงงานเท่านั้น แต่ยังลุกลามไปถึงการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับสินค้าราคาถูกจากจีน ซึ่งเข้ามาตีตลาดในราคาที่ผู้ผลิตไทยยากจะสู้ได้ ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากราคาพลังงานที่พุ่งสูง และกำลังแรงงานที่มีอายุเฉลี่ยสูงขึ้น

ยิ่งทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักหน่วง คลื่นกระทบที่เกิดขึ้นในภาคอุตสาหกรรมนี้ ส่งผลต่อเนื่องไปยังเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เศรษฐกิจไทยที่มีขนาดกว่า 17.989 ล้านล้านบาท หรือ 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับภาวะผันผวน และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังความเป็นอยู่ของประชาชนทุกคน

ภาระหนักของผู้ประกอบการรายย่อย และความหวังจากโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท

การปิดตัวของโรงงานขนาดใหญ่ในประเทศไทยยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน อัตราการเปิดโรงงานใหม่ก็ชะลอตัวลง โดยโรงงานที่เปิดใหม่ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็ก จากข้อมูลของฝ่ายวิจัยธนาคารเกียรตินาคินภัทร สถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่ออุตสาหกรรมหลักที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรายย่อยยังต้องรับมือกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น อันเนื่องมาจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นและอัตราค่าจ้างแรงงานที่ค่อนข้างสูง นายสังข์ชัย เธียรกุลวานิช นายกสมาคมผู้ประกอบการ SMEs ระบุว่า “เราต้องแข่งขันกับธุรกิจข้ามชาติ ผู้ประกอบการที่ปรับตัวไม่ทันจึงต้องปิดกิจการหรือเปลี่ยนไปผลิตสินค้าอื่น”

ด้านรัฐบาลได้เริ่มดำเนินการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% สำหรับสินค้าราคาถูกนำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน อย่างไรก็ตาม สินค้าเหล่านี้ยังคงได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากร นายณัฐวุฒิ เฉลิมตระการ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนได้เรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณามาตรการป้องกันการหลบเลี่ยงภาษี ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และกำแพงภาษีสำหรับสินค้าจีนในภูมิภาคอื่นๆ และด้วยปัจจัยหลายประการ เศรษฐกิจไทยคาดการณ์ว่าจะเติบโตเพียง 2.5% ในปีนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่พึงพอใจต่อผลงานของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา

ล่าสุดทางนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ได้ออกมาชี้แจงว่า โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท มูลค่ารวม 5 แสนล้านบาท โดย รัฐบาลย้ำว่านี้เป็นสิ่งจำเป็น “มาตรการนี้จะเป็นเสมือนยาแรงที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ” ซึ่งได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก รวมถึงจากธนาคารแห่งประเทศไทย

ความหวังและความท้าทายในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย

เศรษฐกิจไทยสะเทือน โรงงานปิดตัว สินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้ามาไม่หยุด

วิกฤตการณ์ในภาคอุตสาหกรรมไทยครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องเตือนใจถึงความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพิงการผลิตและการส่งออก หากแต่ยังเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ในการนำพาประเทศฝ่าคลื่นลมเศรษฐกิจที่ถาโถมเข้ามาอย่างหนักหน่วง

แม้จะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาด้วยมาตรการต่างๆ ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการแจกเงินดิจิทัล การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้าราคาถูกนำเข้า และการส่งเสริมภาคเกษตรกรรม แต่ความท้าทายที่แท้จริงอยู่ที่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความหลากหลายและยั่งยืนมากขึ้น การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน จะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ในขณะเดียวกัน การดูแลและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้ ทั้งแรงงานที่ตกงานและผู้ประกอบการรายย่อย ก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่ควรมองข้าม การสร้างหลักประกันทางสังคมและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาชน จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย

วิกฤตการณ์ครั้งนี้เป็นโอกาสให้ประเทศไทยได้ทบทวนและปรับเปลี่ยนโมเดลเศรษฐกิจ ไปสู่ทิศทางที่ยั่งยืนและมั่นคงมากขึ้น การเรียนรู้จากความผิดพลาดและการปรับตัวอย่างรวดเร็ว จะเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จของประเทศไทยในการก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปได้

ที่มา Reuters

แชร์

เศรษฐกิจไทยสะเทือน โรงงานปิดตัว สินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้ามาไม่หยุด