ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีกลับมาคึกคักอีกครั้ง!หลังจาก "บิตคอยน์" สกุลเงินดิจิทัล ที่ได้รับความนิยมสูงสุด พุ่งทะยานขึ้นทำลายสถิติ สู่ระดับราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทะลุ 95,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางกระแสความคาดหวัง เกี่ยวกับนโยบายสนับสนุนคริปโทฯ ของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
ราคาบิตคอยน์พุ่งทะลุ 95,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นครั้งแรก สร้างสถิติใหม่ ท่ามกลางกระแสความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี ของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ราคาบิตคอยน์ ได้พุ่งขึ้นแตะระดับ 95,004 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่ราคาปรับตัวขึ้นมากกว่า 2% ในวันก่อนหน้า
โดยเหรียญบิตคอยน์ (BTC) สร้างสถิติราคาสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่ (All Time High) ด้วยราคา 1 BTC = $95,993 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดใหม่จากระดับสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้ที่ $94,000 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2567 ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ coinmarketcap.com
ส่วนบนกระดานไทย บิทคับ เอ็กซ์เชนจ์ ราคาล่าสุด ณ วันที่ 21 พ.ย. 67 1 BTC อยู่ที่ 3,349,999 บาท โดยราคา Bitcoin (BTC) ใน 24 ชั่วโมงมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.27% มีราคาสูงสุดอยู่ที่ 3,350,000 บาท และมีราคาต่ำสุด ที่ 3,180,000บาท อ้างอิงราคา BTC จาก https://www.bitkub.com/th/market/btc
โดยการทำ All-time high ครั้งนี้ของ Bitcoin ทำให้ราคาพุ่งขึ้น 40% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นมากกว่า 105% ในปี 2024
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ทีมงานของทรัมป์ กำลังอยู่ระหว่างการหารือกับผู้แทนจากภาคอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล เกี่ยวกับการจัดตั้งตำแหน่งใหม่ในทำเนียบขาว โดยมีบทบาทหน้าที่ในการกำกับดูแลนโยบายด้านคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกที่สร้างความเชื่อมั่น และกระตุ้นการลงทุนในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี
หากมีการจัดตั้งตำแหน่งดังกล่าวจริง นับเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมคริปโทฯ ที่แสดงให้เห็นถึงการยอมรับ และการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้คริปโทเคอร์เรนซี กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจกระแสหลัก
ก่อนหน้านี้ ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์ ได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะผลักดันให้สหรัฐอเมริกา เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมคริปโทฯ ของโลก รวมถึงการสนับสนุนให้มีการขุดบิตคอยน์ภายในประเทศ นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังประกาศว่า จะปลด แกรี เจนสเลอร์ ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ SEC ซึ่งมีท่าทีไม่สนับสนุนคริปโทฯ ออกจากตำแหน่ง ทันทีที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี
การเคลื่อนไหวในเชิงบวกดังกล่าว ส่งผลให้นักลงทุนต่างจับตามองว่า ราคาบิตคอยน์จะสามารถทะยานขึ้นไปแตะระดับ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้หรือไม่ ในอนาคตอันใกล้นี้
ด้านสำนักข่าว The Block รายงานว่า นอกจากแรงหนุนจากการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ยังคงร้อนแรง และมีปัจจัยสนับสนุนอื่นเพิ่มเติม คือ การอนุมัติ Bitcoin ETF Options ที่กำลังทำให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเติบโต ซึ่งเห็นได้ว่า Bitcoin ยึดตำแหน่งของตัวเองไว้เคียงข้างหุ้น พันธบัตร และสินค้าโภคภัณฑ์ในฐานะการลงทุนของสถาบันหลัก
James Seyffart นักวิเคราะห์ ETF ของ Bloomberg Intelligence รายงานว่า “Bitcoin ETF Options เริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการในสัปดาห์นี้
โดย iShares Bitcoin Trust ของ BlackRock (IBIT) เริ่มเปิดตัวในวันอังคาร ตามด้วย ETF ของ Bitwise และ GrayScale ที่เข้าร่วมการแข่งขันในวันพุธ เกิดสัญญาซื้อขาย Options วันแรกของ IBIT อยู่ที่เกือบ 1,900 ล้านดอลลาร์ผ่านสัญญา 354,000 สัญญา โดย 289,000 สัญญาเป็น Call และ 65,000 สัญญาเป็น Put โดยมีอัตราส่วน 4.4:1 เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวไปสู่จุดสูงสุดตลอดกาลของราคา Bitcoin ในวันนี้”
จุดเปลี่ยนของคริปโทเคอร์เรนซี? ความเปลี่ยนแปลงที่อาจกำหนดอนาคตวงการคริปโท
การทะยานขึ้นของราคาบิตคอยน์สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่โดนัลด์ ทรัมป์กำลังจะก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา พร้อมกับนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี
หากทรัมป์เดินหน้าตามนโยบายที่ประกาศไว้ เช่น การจัดตั้งตำแหน่งผู้ดูแลนโยบายคริปโทฯ ในทำเนียบขาว การผลักดันให้สหรัฐฯ เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรม และการปลดประธาน SEC ที่ไม่สนับสนุนคริปโทฯ ก็อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของวงการคริปโทเคอร์เรนซี
การยอมรับและการสนับสนุนจากภาครัฐจะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และผลักดันให้คริปโทเคอร์เรนซีเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจกระแสหลัก
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยท้าทายที่ต้องติดตาม เช่น ความผันผวนของราคา ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย และความชัดเจนของกฎระเบียบซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการพัฒนาและกำกับดูแล เพื่อให้คริปโทเคอร์เรนซีสามารถเติบโตและสร้างประโยชน์ให้กับระบบเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน