‘การบินไทย’ จะกลับมาสดใสอีกครั้ง หลังเปิดเผยผลประกอบการปี 2567 มีผู้โดยสาร 16 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 17% จากปี 66) มีรายได้รวมที่ 187,989 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงินที่ 41,515 ล้าน
บาท พร้อมเดินหน้าออกจากแผนฟื้นฟูกิจการช่วงเดือน พ.ค.68 และกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯไม่เกิน มิ.ย.68 นี้
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลประกอบการในปี 2567 และทิศทางธุรกิจจากนี้พบว่า ผลการดำเนินงานอยู่ในทิศทางที่สดใส รายได้เพิ่มขึ้น และมีกำไรจากการดำเนินงาน แต่เนื่องจากยังมีภาระแปลงหนี้เป็นทุนทำให้ปิดปี 67 ขาดทุน 26,901 ล้านบาท SPOTLIGHT สรุปผลประกอบการของการบินไทย ดังนี้
อย่างไรก็ตาม รายการดังกล่าวเป็นผลขาดทุนทางบัญชีซึ่งเป็นรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และไม่ได้ส่งผลต่อการออกจากการฟื้นฟูกิจการ เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ภายหลังการปรับโครงสร้างทุนยังคงเป็นบวก
การบินไทย : จดทะเบียนเพิ่มทุนเป็น 336,824,601,650 บาทแล้ว เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.65
การบินไทย : ไม่เกิดเหตุผิดนัด ตั้งแต่วันที่เข้าสู่การฟื้นฟูกิจการจนถึงปัจจุบัน
การบินไทย : EBITDA ตามงบการเงินเฉพาะกิจการ ปี 2567 เท่ากัย 41,473 ล้านบาท
การบินไทย : ส่วนของผู้ถือหุ้นตามงบการเงินเฉพาะกิจการ ณ 31 ธ.ค.67 เท่ากับ 45,495 ล้านบาท (จากที่เคยติดลบ 43,352 ล้านบาทในปี 2566)
การบินไทย : ทางบริษัท คาดว่าจะจัดให้มีการประชุมถือหุ้น วันที่ 18 เม.ย.68 เพื่อแต่งตั้งกรรมการใหม่ ภายหลังการแปลงหนี้เป็นทุนและการเสนอขายหุ้นเพื่อเพิ่มทุน
ส่งผลให้ตอนนี้การบินไทยใกล้สามารถบรรลุเงื่อนไขผลสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการ และยังส่งผลให้เหตุแห่งการเพิกถอนหุ้นตามนิยามของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหมดไป และทำให้บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าออกจากแผนฟื้นฟูกิจการและกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
เปิดรายชื่อกรรมการบริษัท ของการบินไทย
เพื่อพิจารณาอนุมัติกำหนดจำนวนกรรมการบริษัท จำนวน 11 ท่านหรือ 12 ท่าน ซึ่งประกอบด้วย
- กรรมการจำนวน 6 ท่าน ได้แก่ นายลวรณ แสงสนิท ดร. กุลยา ตันติเตมิท นายชาครีย์ บำรุงวงศ์ พลตำรวจเอก ธัชชัย ปิตะนีละบุตร นายชาติชาย โรจน์รัตนางกูร และนายชาย เอี่ยมศิริ
- กรรมการอิสระจำนวน 3 ท่าน ได้แก่ นายณปกรณ์ ธนสุวรรณเกษม นายยรรยง เดชภิรัตนมงคล และนายสัมฤทธิ์ สำเนียง
ทั้งนี้ภายหลังจากบริษัทฯ ได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นแล้ว และได้รับอนุญาตจากศาลล้มละลายกลางแล้ว บริษัทฯ จะดำเนินการจดทะเบียนการเปลี่ยนแปลงจำนวนกรรมการ และการแต่งตั้งจดทะเบียนกรรมการใหม่ ก่อนที่จะดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะผู้บริหารแผนเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติอนุมัติการลดมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) ของหุ้นของบริษัทฯ จากหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1.30 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมทางบัญชีของบริษัทฯ ให้ใกล้เคียงศูนย์มากที่สุด โดยจะทำให้ทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วของบริษัทฯ ลดลงจากจำนวนประมาณ 283,033 ล้านบาท เป็นจำนวนประมาณ 36,794 ล้านบาท ทำให้ผลขาดทุนสะสมลดลงเหลือ 180 ล้านบาท
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้หรือบริษัทฯ แต่อย่างใด และไม่ส่งผลกระทบต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมในงบการเงินของบริษัทฯ อีกทั้ง ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าบริษัทหรือมูลค่าต่อหุ้น เนื่องจากมูลค่าต่อหุ้นไม่ได้ถูกกำหนดจากมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) และเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทฯ สามารถพิจารณาจ่ายเงินปันผลในอนาคตให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ รวมถึงเจ้าหนี้จากการแปลงหนี้เป็นทุน และเป็นการเพิ่มความน่าสนใจของหุ้นให้แก่นักลงทุนภายหลังการกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือหากในอนาคต บริษัทฯ ต้องการที่จะระดมทุนเพิ่มเติมโดยการออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อนำมาใช้ในการประกอบกิจการหรือชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัทฯ ก็สามารถดำเนินการได้โดยไม่ติดขัดเรื่องผลขาดทุนสะสมซึ่งเป็นเพียงตัวเลขทางบัญชีอีกต่อไป
ส่งผลให้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567
ปัจจุบันบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีอากาศยานที่ใช้ทำการบินรวมทั้งสิ้น 79 ลำ แบ่งเป็นแบบลำตัวกว้างและลำตัวแคบ จำนวน 59 ลำ และ 20 ลำตามลำดับ โดยตารางบินฤดูหนาว ประจำปี 2568 ของบริษัทฯ วางแผนทำการบินไปยัง 64 จุดบินเช่นเดียวกับในปี 2567 แต่มีจำนวนเที่ยวบินทั้งหมด 883 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 40 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ จากปี 2567 ที่มี 843 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เพื่อรองรับการเดินทางของผู้โดยสารในเส้นทางบินยอดนิยม รวมถึงรองรับการเดินทางที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเร่งขยายขนาดฝูงบินให้เพียงพอต่อแผนเส้นทางบิน จำนวนเที่ยวบิน และความต้องการเดินทางของผู้โดยสาร
โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน หรือ MRO ที่สนามบินอู่ตะเภา บนพื้นที่ 220 ไร่ จะใช้งบลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยการบินไทย จะลงนาม MOU ร่วมลงทุนกับบางกอกแอร์เวย์ส และบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด หรือ UTA
โดยศูนย์ซ่อมแห่งนี้จะมีศักยภาพในการซ่อมเครื่องบินได้ทุกประเภท ทั้งเครื่องบินลำตัวกว้าง (Wide Body) และเครื่องบินลำตัวแสบ (Narrow Body) ซึ่งเฟสแรกคาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในปี 2571
โดยในปี 2567 การบินไทยได้ต้อนรับผู้โดยสารกว่า 16 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 17% จากปีก่อนหน้า และปี 2568 นี้ตั้งเป้ารองรับผู้โดยสารกว่า 16.5 ล้านคน
และจากการที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวไทยน้อย การบินไทยได้มองว่าไม่สะเทือน เนื่องจากรายได้ของการบินไทยสัดส่วนของนักท่องเที่ยวจีนอยู่แค่ 2-3% (ก่อนโควิด อยู่ประมาณ 5%) แต่มีรายได้จากยุโรปกว่า 30% ส่วนนักท่องเที่ยวจากออสเตรเลียและอินเดีย มีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจมากกว่าจีน