ในช่วงเช้ามืดวันนี้ (20 ก.พ.)ตามเวลาไทย มีการเปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) รอบเดือนม.ค.ที่บ่งชี้ว่า กรรมการส่วนใหญ่เห็นพ้องถึงความคืบหน้าที่เพิ่มมากขึ้นในกระบวนการปรับตัวลงของเงินเฟ้อสหรัฐ ก่อนที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพิ่มเติมจากระดับ 4.25-4.50% ในปัจจุบัน
โดยระดับดังกล่าวนี้นับว่าเป็นระดับที่มีความเข้มงวดลดลงเป็นอย่างมากแล้ว จากระดับก่อนการเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนก.ย. อีกทั้งยังนับว่าเป็นระดับที่เหมาะสมต่อการคงไว้ ตราบเท่าที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่เงินเฟ้อยังค้างตัวอยู่ในระดับสูง
การส่งสัญญาณดังข้างต้น ถูกชี้นำด้วยความกังวลต่อผลกระทบด้านเงินเฟ้อ จากความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เกี่ยวกับการค้าและแรงงานข้ามชาติ, ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานในการผลิต และการใช้จ่ายของครัวเรือนที่อาจเติบโตมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ มีผลมาจากแนวทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์
ซึ่งกรรมการเล็งเห็นว่าประเด็นดังกล่าว อาจทำให้เงินเฟ้อยังคงค้างตัวในระดับสูงกว่าระดับเป้าหมายที่ 2.0 % ของเฟดหรือกล่าวได้ว่า เฟดกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะยังไม่สามารถนำเงินเฟ้อกลับลงสู่ระดับเป้าหมายได้
ทั้งนี้ นับตั้งแต่การคว้าชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ช่วงปลายปีที่ผ่านมา สังเกตได้ว่า ค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯมีการปรับตัวขึ้นเป็นอย่างมาก กดดันให้ราคาทองคำลดช่วงการปรับตัวลง
โดยก่อนเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งฯ ราคาทองคำสามารถสร้างระดับสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่ที่ 2,789.99 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หลังนักลงทุนทราบผลการเลือกตั้งฯ แล้ว เพียงเวลาราว 1 สัปดาห์ ราคาทองคำมีการปรับตัวลงราว 7.0% และเป็นการปรับตัวลงจากระดับสูงสุดตลอดกาลครั้งล่าสุดราว 8.0% หรือ 250 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สถานการณ์ข้างต้น เป็นผลจากแนวทางการดำเนินนโยบายของทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดอัตราภาษีบุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล การตั้งกำแพงภาษีนำเข้ากับทุกประเทศ และการกีดกันแรงงานข้ามชาติ ทั้งหมดนี้ ถูกประเมินว่า จะทำให้สถานการณ์ทางการคลังของสหรัฐย่ำแย่ลง ซึ่งรัฐบาลอาจต้องออกขายพันธบัตรเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับส่งเสริมการค้างตัวในระดับสูงของเงินเฟ้อสหรัฐ สร้างความเสี่ยงต่อการบรรลุเป้าหมายด้านเงินเฟ้อของเฟด จำกัดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี ความกังวลของนักลงทุนต่อแนวทางการดำเนินนโยบายของทรัมป์นั้น เริ่มคลายตัวลง หลังมีสัญญาณว่า ทรัมป์อาจไม่ได้ดำเนินนโยบายด้านภาษีศุลกากรกับทุกประเทศคู่ค้าดังที่ส่งสัญญาณไว้ สะท้อนผ่านการไม่บรรจุแผนการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศคู่ค้า (Universal tariff) และการชะลอการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกที่ระดับ 25.0% เป็นเวลา 1 เดือน จากเดิมที่มีการกำหนดบังคับใช้ในวันที่ 4 ก.พ.
ดังนั้น แผนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าที่ทรัมป์ประกาศออกมาในช่วงหลัง ที่มีการเว้นช่วงการบังคับใช้ออกไป ถูกตลาดตีความว่า เป็นเพียงเครื่องมือในการต่อรองทางค้ามากกว่า ความตั้งใจบังคับใช้จริง
ขณะที่รายงานการสำรวจความเห็นของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก บ่งชี้ว่า มากกว่า 50.0% ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่า รัฐบาลสหรัฐจะดำเนินมาตรการด้านภาษีศุลกากรกับบางประเทศคู่ค้าเพียงเท่านั้น
สถานการณ์ข้างต้น มีส่วนบรรเทาความกังวลของนักลงทุนทั้งในประเด็นสงครามการค้า, เงินเฟ้อในสหรัฐ และอัตราดอกเบี้ยของเฟด ค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ จึงมีการปรับฐานลงเคลื่อนไหวในระดับต่ำกว่า ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสถานการณ์เชิงบวกของราคาทองคำ
อย่างไรก็ดี ประเด็นการดำเนินนโยบายของรัฐบาลสหรัฐนั้น นับว่ายังมีความไม่แน่นอนในระดับสูงมาก ทำให้ราคาทองคำถูกหนุนเพิ่มเติม จากแรงซื้อในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อีกทั้งยังรวมถึงแรงซื้อเก็งกำไร หลังตลาดประเมินถึงความเป็นไปได้ที่โลหะมีค่าอาจไม่ถูกยกเว้น หากรัฐบาลสหรัฐดำเนินแผนการด้านภาษีศุลกากรกับประเทศผู้ส่งออกโลหะมีค่า
จากสถานการณ์เชิงหนุนของทองคำดังกล่าว ราคาทองคำจึงสามารถสร้างระดับสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง โดยครั้งล่าสุดที่ 2,954.82 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งนับเป็นการเพิ่มขึ้นราว 16.46% จากระดับต่ำสุดในช่วงหลังการเลือกตั้งฯ ปลายที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลสหรัฐ นับว่าส่งผลให้การประเมินผลกระทบด้านเงินเฟ้อในสหรัฐนั้น มีความไม่แน่นอนตามไปด้วย ประกอบกับเศรษฐกิจและตลาดแรงงานสหรัฐที่ยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่พบสัญญาณความไม่คืบหน้าในการปรับตัวลงของเงินเฟ้อสรหัฐ ซึ่งหากประเมินร่วมกับรายงานการประชุม FOMC จะพบสัญญาณที่ว่า เฟดอาจไม่ได้ปรับลดปรับตัวลงอัตราดอกเบี้ยในระยะอันใกล้นี้ สอดคล้องกับที่นักลงทุนให้ความเป็นไปได้สูงสุดต่อแนวโน้มที่เฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไม่เกิน 0.25% ในปีนี้ นับเป็นปัจจัยที่คอยพยุงค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ
ทั้งนี้ ด้วยค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐยังมีทิศทางปรับตัวลงจากช่วงต้นปี ประกอบกับมีมุมมองเชิงบวกด้านราคาที่เพิ่มสูงขึ้นของทองคำ ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แต่กระนั้น ราคาทองคำมีโอกาสถูกกดดันให้ลดช่วงการปรับตัวขึ้นได้ จากความเสี่ยงในประเด็นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
อย่างไรก็ดี เมื่อไม่นานมานี้ โกลด์แมน แซคส์ ออกมาปรับเพิ่มเป้าหมายราคาสูงสุดของทองคำในปีนี้ จากเดิมที่ 2,890 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 3,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยถูกชี้นำจากความต้องการซื้อทองคำของกลุ่มธนาคารกลางที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งต่อเนื่อง
สอดคล้องกับการปรับเพิ่มการเข้าซื้อทองคำเฉลี่ยของกลุ่มดังกล่าวสู่ระดับ 50 ตันต่อเดือน ขณะที่หากการเข้าซื้อทองคำเฉลี่ยสูงขึ้นถึงราว 70 ตันต่อเดือน ราคาทองคำอาจสามารถปรับตัวขึ้นแตะระดับ 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ยิ่งไปกว่านั้น หากประเด็นสงครามการค้าทวีความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น มีแนวโน้มที่ราคาทองคำอาจปรับตัวขึ้นถึงระดับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แต่ขณะเดียวกัน โกลด์แมน แซคส์ ได้เล็งเห็นถึงความเสี่ยงจากประเด็นอัตราดอกเบี้ยของเฟดด้วยเช่นกัน โดยความเสี่ยงดังกล่าวอาจทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้อย่างจำกัด หรือปรับตัวขึ้นได้ไม่เท่ากับกรณีที่ยกไปข้างต้น ซึ่งตั้งสมมติฐานว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในปีนี้
ทว่า แม้ราคาทองคำต้องถูกลดทอนแรงหนุนลง จากแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างจำกัดของเฟด แต่กระนั้น โกลด์แมน แซคส์ ประเมินว่า ทองคำยังคงมีการปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง โดยแม้เฟดอาจไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปี 2025 ราคาทองคำยังคงสามารถแตะระดับสูงสุดที่ 3,060 ดอลลลาร์ต่อออนซ์ หรือเท่ากับการเพิ่มขึ้นราว 16.62% จากสิ้นปีที่ผ่านมา
อนึ่ง ด้วยความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายของรัฐบาลสหรัฐ ดังนั้น แนะนำนักลงทุนติดตามประเด็นดังกล่าว และข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐ อันมีชี้นำการตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินของเฟด รวมถึงปัจจัยชี้นำราคาทองคำรายการอื่น อาทิ กระบวนการยุติการสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครน เป็นต้น เพื่อประเมินการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในระยะข้างหน้า
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท YLG Bullion And Future จำกัด